tradingkey.logo

ดัชนีความกลัวและความโลภในตลาดคริปโตคืออะไร? ทำไมถึงมีหลายเวอร์ชัน? และควรระวังอะไรเมื่อใช้งาน?

TradingKey
ผู้เขียนBlock Tao
15 เม.ย. 2025 เวลา 12:27

บทนำ

นักลงทุนมักจะแสดงพฤติกรรมโลภในช่วงตลาดกระทิงหรือเมื่อเกิดเหตุการณ์ในเชิงบวก เช่น การที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในทางกลับกัน ช่วงตลาดหมีหรือสถานการณ์ไม่แน่นอน ความกลัวมักจะเข้าครอบงำพฤติกรรมนักลงทุน เหตุการณ์นี้ชัดเจนยิ่งขึ้นหลังจากทรัมป์เริ่มออกมาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งส่งผลให้ตลาดทั่วโลกปั่นป่วน แต่คำว่า “ความโลภของตลาด” หรือ “ความกลัวของตลาด” จริง ๆ แล้วหมายถึงอะไร? และสำคัญกว่านั้น — จะวัดอารมณ์ของตลาดได้อย่างไรเพื่อช่วยให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงกับดักยอดฮิตอย่าง “ซื้อแพง ขายถูก”?

หนึ่งในเครื่องมือที่นิยมใช้มากคือ ดัชนีความกลัวและความโลภในตลาดคริปโต (Crypto Fear & Greed Index) บทความนี้จะอธิบายความหมาย หลักการพื้นฐาน การใช้งานในทางปฏิบัติ และข้อควรระวังเมื่อใช้งานดัชนีนี้

ดัชนีความกลัวและความโลภในตลาดคริปโตคืออะไร?

ดัชนีความกลัวและความโลภในตลาดคริปโต (Crypto Fear and Greed Index) เป็นตัวชี้วัดความรู้สึกของผู้เข้าร่วมตลาดที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนสภาวะทางอารมณ์ของนักลงทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อระบุว่า ตลาดคริปโตกำลังร้อนแรงเกินไป (เกิดจากความโลภ) หรือกำลังถูกประเมินค่าต่ำเกินไป (เกิดจากความกลัว)

ดัชนีนี้ให้คะแนนในช่วง 0 ถึง 100 ซึ่งแต่ละช่วงของคะแนนจะสะท้อนอารมณ์ของตลาดในระดับต่าง ๆ ดังนี้:

ช่วงคะแนน

ความหมาย

0-24

ความกลัวอย่างรุนแรง – ความเชื่อมั่นของตลาดต่ำมาก

25-49

ความกลัว – ตลาดมีความระมัดระวัง 

50

กลาง ๆ – ความรู้สึกของตลาดค่อนข้างคงที่

51-74

ความโลภ – ตลาดมองในแง่บวก 

75-100

ความโลภอย่างรุนแรง – ตลาดร้อนแรงเกินไป

อะไรคือองค์ประกอบของดัชนีความกลัวและความโลภในตลาดคริปโต?

ดัชนีนี้วิเคราะห์จากข้อมูลหลัก 7 ประเภท ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค ความเคลื่อนไหวของตลาด และความรู้สึกของผู้คนในวงการคริปโต โดยแต่ละแหล่งจะวัดมุมมองที่แตกต่างกันของความรู้สึกในตลาด และมีน้ำหนักที่แตกต่างกันตามความสำคัญ:

ตัวชี้วัด

นำ้หนัก

แหล่งข้อมูล

ความหมาย

ความผันผวนของราคา

25%

ความผันผวนของราคา BTC/ETH

การเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้นที่รุนแรง เช่น การร่วงหรือพุ่งแรง บ่งบอกถึงความกลัวหรือความโลภอย่างรุนแรง

ปริมาณการซื้อขายในตลาด

25%

ปริมาณการซื้อขายแบบ Spot บนตลาดแลกเปลี่ยน

ปริมาณการซื้อขายสูงอาจบ่งชี้ถึง FOMO (ความโลภ) ขณะที่ปริมาณต่ำแสดงถึงความกลัว

ความรู้สึกในโซเชียลมีเดีย

15%

X (Twitter), Reddit, Telegram

วัดความถี่ในการพูดคุยและคำสำคัญ เช่น “ตลาดกระทิง” หรือ “ตลาดพัง”

การครอบงำของ Bitcoin

10%

ส่วนแบ่งมูลค่าตลาดของ BTC

เงินทุนไหลเข้าหา BTC (สินทรัพย์ปลอดภัย) หรือ altcoin (ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น)

เทรนด์การค้นหาใน Google

10%

Google Trends

ตรวจสอบปริมาณการค้นหาคำเช่น “Bitcoin ร่วง” หรือ “ซื้อคริปโต”

Funding Rate ของฟิวเจอร์ส

10%

อัตรา funding ของสัญญาฟิวเจอร์สแบบ Perpetual

อัตราบวก (สาย long จ่าย short) บ่งชี้ว่าตลาดร้อนแรงเกินไป; อัตราลบแสดงถึงความกลัว

Open Interest

5%

มูลค่ารวมของสัญญาฟิวเจอร์สที่เปิดอยู่

การใช้เลเวอเรจสูงเพิ่มความผันผวน ซึ่งขยายผลของความกลัวหรือความโลภในตลาด 

ทำไมถึงมีหลายเวอร์ชันของดัชนีความกลัวและความโลภในตลาดคริปโต?

ปัจจุบันยังไม่มีดัชนีความกลัวและความโลภในตลาดคริปโตที่เป็นมาตรฐานกลางเพียงหนึ่งเดียว แพลตฟอร์มต่าง ๆ สถาบันวิจัย และตลาดแลกเปลี่ยนต่างก็พัฒนาดัชนีในรูปแบบของตนเอง ซึ่งแต่ละเวอร์ชันมีความแตกต่างกันทั้งในแง่ของ วิธีคำนวณ แหล่งข้อมูล กลุ่มเป้าหมาย และขอบเขตของตลาด ที่ครอบคลุม


ด้านล่างคือตัวอย่างเวอร์ชันสำคัญของดัชนี และความแตกต่างของแต่ละแบบ:

เวอร์ชัน

ข้อดี

ข้อเสีย

การใช้งานที่เหมาะสม

ความถี่ในการอัปเดต

Alternative

ครอบคลุมสูง มีข้อมูลย้อนหลังครบถ้วน

ไม่ครอบคลุม altcoin

ใช้วัดความรู้สึกในตลาด BTC ระยะสั้น

รายวัน

เวอร์ชันจากตลาดแลกเปลี่ยน

ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ 

ขาดความโปร่งใสด้านแหล่งข้อมูล 

ใช้สำหรับการเทรดระดับตลาดแลกเปลี่ยน 

รายชั่วโมง

Glassnode

ใช้ข้อมูลแบบ on-chain อย่างเป็นกลาง

มีความล่าช้าในการแสดงข้อมูล

ใช้สำหรับวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาว

รายวัน

Santiment

ครอบคลุม altcoin หลายตัว

ต้องสมัครสมาชิกถึงจะเข้าถึงข้อมูลบางส่วนได้

ใช้สำหรับการวิเคราะห์ตลาด altcoin

รายวัน

TradingView (แบบกำหนดเอง)

ปรับแต่งได้ตามต้องการ 

ความน่าเชื่อถือขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน  

ผสานรวมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคของผู้ใช้เอง

แล้วแต่ผู้ใช้งานกำหนด

วิธีใช้ดัชนีความกลัวและความโลภในตลาดคริปโตเพื่อวางกลยุทธ์การเทรด


จากค่าดัชนีที่แสดงออกมา เราสามารถแบ่งอารมณ์ของตลาดออกเป็น 5 ระดับหลัก ได้แก่ ความโลภอย่างรุนแรง, ความโลภ, เป็นกลาง, ความกลัว และความกลัวอย่างรุนแรง ซึ่งแต่ละระดับจะเหมาะกับกลยุทธ์การซื้อขายที่แตกต่างกันไป ดังนี้:

1. ความโลภอย่างรุนแรง (ดัชนีมากกว่า 70)

กลยุทธ์: ขายทำกำไรล่วงหน้าหรือทยอยลดการถือครอง

เหตุผล: เมื่อดัชนีชี้ว่าตลาดกำลังโลภอย่างมาก แสดงว่าตลาดอาจกำลังร้อนแรงเกินไป มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปรับฐาน ควรพิจารณาขายเพื่อทำกำไร หรือวางคำสั่ง stop-loss เพื่อป้องกันความเสียหาย
ตัวอย่าง: หลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในปี 2024 ความรู้สึกของตลาดคริปโตพุ่งขึ้น ดัชนีทะลุ 80 และอยู่ในระดับนั้นนานกว่าหนึ่งเดือน—เป็นสัญญาณชัดเจนในการขายทำกำไร

2. ความโลภ (ดัชนี 50–70)

กลยุทธ์: ถือครองต่อหรือเพิ่มสถานะเล็กน้อย

เหตุผล: ตลาดยังคงมีความเชื่อมั่นในเชิงบวก แต่ยังไม่ถึงระดับที่ร้อนแรงมาก จึงเหมาะกับการถือครองต่อ หรือเพิ่มสถานะเล็กน้อยแบบระมัดระวัง

3. เป็นกลาง (ดัชนี = 50) 

กลยุทธ์: เทรดตามเทรนด์ระยะสั้น หรือรอดูสถานการณ์

เหตุผล: อารมณ์ของตลาดอยู่ในระดับสมดุล ไม่มีแนวโน้มชัดเจนไปทางขึ้นหรือลง เหมาะกับการเทรดระยะสั้นหรือหยุดรอดูทิศทางก่อน

4. ความกลัว (ดัชนี 30–50)

กลยุทธ์: พิจารณาเข้าซื้อ

เหตุผล: ความกลัวในระดับปานกลางอาจบ่งบอกถึงโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ที่ถูกประเมินค่าต่ำ เหมาะกับการลงทุนระยะยาว

5. ความกลัวอย่างรุนแรง (ดัชนี 0–30)

กลยุทธ์: ซื้ออย่างจริงจัง

เหตุผล: การเทขายจากความตื่นตระหนกในช่วงตลาดกลัวรุนแรง มักเปิดโอกาสให้ซื้อในจุดเข้าที่ดี เพราะมีแนวโน้มว่าตลาดจะฟื้นตัวในภายหลัง

ตัวอย่าง: หลังจากทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ในเดือนเมษายน 2025 ดัชนีลดลงเหลือ 21–25 ต่อเนื่อง เป็นสัญญาณชัดเจนสำหรับการเข้าซื้อ

ข้อควรระวังในการใช้งานดัชนีความกลัวและความโลภ

แม้ว่าดัชนีความกลัวและความโลภจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนนำไปใช้ในกลยุทธ์การลงทุนของตนเอง ดังนี้:

1. อย่าพึ่งพาดัชนีเพียงอย่างเดียว

ดัชนีนี้สะท้อนอารมณ์ของตลาดเท่านั้น ไม่ได้แสดงภาพรวมของสภาวะตลาดทั้งหมด จึงควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น RSI, MACD รวมถึงตัวชี้วัดเสริม เช่น มูลค่าตลาดของ stablecoin

2. ใช้ข้อมูลจากหลายเวอร์ชันประกอบกัน 

เนื่องจากเวอร์ชันของดัชนีจากแต่ละแหล่งมีความแตกต่างกัน จึงแนะนำให้ติดตามหลายเวอร์ชันพร้อมกัน เช่น ใช้ Alternative.me สำหรับภาพรวมตลาด, เวอร์ชันจากตลาดแลกเปลี่ยนเพื่อดูข้อมูลเรียลไทม์ และ Glassnode สำหรับการยืนยันสัญญาณ

3. เข้าใจวัฏจักรของตลาด

แม้ว่าดัชนีจะสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ในตลาดตามรอบเวลา แต่ไม่ได้สามารถทำนายจุดเปลี่ยนของตลาดได้อย่างแม่นยำ นักลงทุนควรใช้สัญญาณระยะสั้นประกอบกับการวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาว

4. จับตาเหตุการณ์สุดโต่ง

เหตุการณ์ภายนอก เช่น การล่มสลายของตลาดแลกเปลี่ยน หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจทำให้ค่าดัชนีพุ่งหรือดิ่งอย่างฉับพลัน ดังนั้น ควรตีความค่าดัชนีโดยอิงกับบริบทของสถานการณ์เศรษฐกิจหรือข่าวสารในอุตสาหกรรมเสมอ

5. บริหารความเสี่ยงให้เหมาะสม

ในช่วงที่ตลาดแสดงความโลภหรือความกลัวอย่างสุดขั้ว ควรพิจารณาตั้งคำสั่ง stop-loss หรือ take-profit เพื่อป้องกันความเสียหายจากความผันผวนที่รุนแรง

สรุป

ดัชนีความกลัวและความโลภถือเป็นเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังสำหรับการลงทุนในคริปโต อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักถึงข้อจำกัดของมัน และใช้ร่วมกับวิธีการวิเคราะห์อื่น ๆ รวมถึงตัวชี้วัดในตลาด การมีสติและการตัดสินใจที่ไม่ยึดติดกับอารมณ์ คือกุญแจสำคัญในการใช้ดัชนีนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะยาว

คำปฏิเสธ: เนื้อหาของบทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น และไม่ได้สะท้อนท่าทีอย่างเป็นทางการของ Tradingkey ไม่ควรถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น และผู้อ่านไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยอิงจากเนื้อหาของบทความนี้เท่านั้น Tradingkey ไม่รับผิดชอบต่อผลการซื้อขายใด ๆ ที่เกิดจากการพึ่งพาบทความนี้ นอกจากนี้ Tradingkey ไม่สามารถรับประกันความถูกต้องของเนื้อหาบทความ ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้

บทความแนะนำ