- บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม (TMI) ขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในทวีปยุโรปด้วยการร่วมลงทุนกับพันธมิตร
- โครงการมีระยะเวลาความร่วมมือ 4 ปี โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มพัฒนาเฟสแรกได้ภายในปี 2568
- การขายคาร์บอนเครดิตจากโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพจะเสริมรายได้ที่สำคัญให้กับบริษัทในอนาคต
นายธีรศักดิ์ ประสิทธิ์รัตนพร รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธีระมงคล อุตสาหกรรม (TMI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายการลงทุนไปสู่การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ในทวีปยุโรป โดยร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนและเทคโนโลยีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) การลงทุนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
ล่าสุด บริษัทได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับบริษัท เจียมพัฒนาพลังงาน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (JEI) เพื่อพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มในยุโรป กำลังการผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายรวม 130 เมกะวัตต์ มีระยะเวลาความร่วมมือ 4 ปี ทั้งนี้ บริษัท ธีระมงคล เอนเนอร์ยี จำกัด (TME) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TMI ถือหุ้น 65% จะเข้าร่วมทุนกับ JEI โดยจะทยอยลงทุนตามการพัฒนาแต่ละโครงการ
การเริ่มต้นพัฒนาโครงการเฟสแรกคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2568 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 30 เมกะวัตต์ ปัจจุบันบริษัทกำลังวางแผนทางการเงิน ซึ่งอาจรวมถึงการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินและการออกหุ้นกู้ มูลค่าโครงการทั้งหมดคาดว่าจะอยู่ที่ราว 4-5 พันล้านบาท
นายธีรศักดิ์กล่าวว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในยุโรปส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินในยุโรปในสัดส่วนประมาณ 70-75% ที่เหลือราว 30% อยู่ระหว่างพิจารณาระดมทุนในรูปแบบต่างๆ นอกจากนี้ เขายังมองเห็นว่าเทรนด์การใช้พลังงานทดแทนถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการขยายการลงทุนในยุโรปและเพิ่มศักยภาพการระดมทุน อีกทั้งการขอวงเงินกู้ในต่างประเทศ
บริษัทคาดว่าหลังจากพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มครบตามสัญญาใน 4 ปี จะช่วยให้รายได้ของ TMI เติบโตอย่างมาก ขณะเดียวกันธุรกิจผลิตภัณฑ์ส่องสว่าง หลอดไฟ และโคมไฟ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้
สำหรับโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ บริษัทเตรียมพร้อมสำหรับการขายคาร์บอนเครดิต หลังจากบริษัทย่อยได้รับการขึ้นทะเบียนเข้าโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ปริมาณคาร์บอนเครดิตรวม 792,813 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในระยะเวลา 7 ปี
นายธีรศักดิ์กล่าวว่ามีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายรายสนใจขอซื้อคาร์บอนเครดิตจากบริษัท เนื่องจากในอนาคตกรมสรรพสามิตจะเริ่มเรียกเก็บภาษีคาร์บอน ทั้งการจัดเก็บทางตรงจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต และการเก็บทางอ้อมจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
บริษัทคาดว่าราคากลางของคาร์บอนเครดิตจะอยู่ที่ราว 200 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ขณะที่ TMI คาดการณ์ราคาขายคาร์บอนเครดิตในอนาคตที่ราว 150-170 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หากขายได้ตามราคาคาดการณ์จะคิดเป็นรายได้ในส่วนของคาร์บอนเครดิตทั้งโครงการประมาณ 119-135 ล้านบาท ที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัท