- ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยประสบปัญหาโอเวอร์ซัพพลายจากการแข่งขันราคาและเศรษฐกิจที่ซบเซา ส่งผลให้ยอดขายลดลงและผู้ผลิตต้องปรับเป้าหมายการผลิต
- การเติบโตยังคงมี แต่ด้วยอุปสรรคจากราคาพลังงานที่สูง ชิ้นส่วนไม่เพียงพอ และการขาดแคลนสถานีชาร์จ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง
- ผู้ผลิตในไทยต้องปรับตัวและเร่งการสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนและแบตเตอรี่ รวมถึงพิจารณาการขยายเวลาส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกในอนาคต
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและเศรษฐกิจที่ซบเซา ส่งผลให้ยอดขายในเดือนกันยายนลดลง 21% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ผู้ผลิตจึงต้องปรับลดเป้าหมายการผลิตให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่กำลังประสบปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยชี้ว่าการจดทะเบียนรถ EV ใหม่น่าจะเทียบเท่ากับปีที่แล้วที่ 76,000 คัน ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 100,000 คัน
แม้ว่าตลาดยังคงมีความต้องการรถ EV แต่การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดและความลังเลเกี่ยวกับราคาที่อาจปรับลดอีกก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการชะลอตัว ยอดขายรถ EV ส่วนใหญ่เป็นรถนำเข้าภายใต้โครงการ EV3.0 และ EV3.5 ของบอร์ดอีวี นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ระบุหลังจากสิ้นสุดโครงการนี้ สัดส่วนรถนำเข้าจะลดลง
ตามที่นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ตกล่าว ตลาด EV ยังคงเติบโตจากราคาพลังงานที่สูง แต่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ชิ้นส่วนและสถานีชาร์จ สภาอุตสาหกรรมได้เสนอแผนพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนซึ่งได้รับอนุมัติแล้ว มีเป้าหมายว่ายอดผลิตรถยนต์ใหม่ในปี 2573 จะถึง 2.5 ล้านคัน โดย 30% เป็นรถ EV
นายสุโรจน์ แสงสนิทจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยเตือนว่าหากรัฐบาลไม่เร่งดำเนินการสนับสนุนการลงทุนเพิ่มเติม ผู้ผลิตอาจตัดสินใจถอนการลงทุนเนื่องจากไม่คุ้มค่า ขณะเดียวกัน การขยายเวลาส่งเสริมการลงทุนจะช่วยให้ไทยกลายเป็นฐานการผลิตรถ EV ส่งออกได้ตามเป้าหมายในอนาคต