- ราคาน้ำมันดิบ WTI และเบรนท์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง แม้มีแรงกดดันจากการโจมตีในตะวันออกกลางและพายุเฮอร์ริเคนมิลตัน
- ตลาดจับตาความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในอนาคต หากเกิดการโจมตีต่อโครงสร้างพื้นฐานน้ำมัน
- ผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทน้ำมันรายใหญ่ เช่น BP ลดลง เนื่องจากกำไรจากการกลั่นน้ำมันอ่อนแอและความต้องการเชื้อเพลิงชะลอตัว
ในวันศุกร์ที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ตลาดน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลง แต่ส่งสัญญาณบวกโดยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง นักวิเคราะห์ยังคงประเมินปัจจัยเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความเสี่ยงในการขัดข้องของอุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง และผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนมิลตันที่พัดถล่มรัฐฟลอริดา
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 29 เซนต์ หรือ 0.38% ปิดที่ 75.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 36 เซนต์ หรือ 0.45% ปิดที่ 79.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในสัปดาห์นี้ทั้งสัญญาน้ำมันดิบ WTI และเบรนท์ปรับตัวขึ้นมากกว่า 1% ข้อมูลจาก Intercontinental Exchange รายงานว่าผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มสถานะซื้อสุทธิในสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ขึ้น
การโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่านต่ออิสราเอลเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดน้ำมันมีความตึงเครียดสูงขึ้น โดยทิม สไนเดอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Matador Economics ระบุว่าหากอิสราเอลโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของอิหร่าน ราคาน้ำมันอาจเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ การรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทน้ำมันรายใหญ่ เช่น BP ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยพบว่ากำไรจากการกลั่นน้ำมันลดลงเนื่องจากความต้องการเชื้อเพลิงชะลอตัว ทั้งนี้ บริษัทยังเผชิญกับปัญหาการซื้อขายน้ำมันที่ลดลง
ในด้านอุปทาน บริษัทรัฐวิสาหกิจน้ำมันแห่งชาติลิเบียได้ประกาศการฟื้นฟูการผลิตน้ำมันกลับสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตของธนาคารกลาง โดยเพิ่มการผลิตเป็น 1.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ในภาพรวม ตลาดน้ำมันยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน และนักลงทุนยังคงจับตาความเคลื่อนไหวในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงได้รับแรงกดดันจากกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซียให้หยุดยั้งอิสราเอลจากการโจมตีสถานที่ผลิตน้ำมันของอิหร่าน