ในการเปิดตลาดล่าสุด หุ้นธนาคารใหญ่หลายแห่งในไทยมีการปรับตัวลง ทั้งนี้ธนาคารกรุงเทพ (BBL) แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 1/68 จะเติบโต 20% จากการขายเงินลงทุน แต่รายได้หลักเช่นดอกเบี้ยยังคงอ่อนแอ ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลต่อมาร์จิ้นที่ต่ำกว่าคาดการณ์ นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังคาดว่าจะเติบโตในระดับต่ำ โดยได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ซึ่งเลื่อนเก็บภาษีในอัตรา 10% ออกไป 90 วัน แต่ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พาย กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงจากการเก็งกำไรในงบไตรมาส 1/68 และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งในปีนี้ โดยการประชุม กนง. ปลายเดือนเมษายนนี้จะเป็นโอกาสสำคัญในการตัดสินใจ หากไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมนี้ คาดว่าในเดือนพฤษภาคมจะมีการปรับเพื่อลดค่าเงินบาทที่แข็งค่า
ในช่วงครึ่งปีหลัง นายธนเดชแนะนำให้นักลงทุนรอดูความชัดเจนจากการประชุม กนง. และติดตามผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้กลุ่มธนาคารต้องชะลอตัวลง การปรับลดดอกเบี้ยแม้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้ส่งผลเชิงบวกต่อกลุ่มธนาคารในระยะสั้น