- กลุ่มธนาคารที่ได้รับการวิเคราะห์คาดว่าจะมีกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 รวม 4.85 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% yoy แต่ลดลง 13.2% qoq
- การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยและมาตรการคุมค่าใช้จ่ายช่วยสนับสนุนกำไรก่อนตั้งสำรองเพิ่มขึ้น แต่สินเชื่อและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยยังคงเผชิญกับแรงกดดัน
- แนะนำคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคาร พร้อมเลือก BBL และ SCB เป็นหุ้นท็อปพิก แต่เตือนถึงความเสี่ยงหาก NPL เพิ่มขึ้นและการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ในไตรมาส 4/67 กลุ่มธนาคาร 8 แห่งที่ฝ่ายวิเคราะห์ของ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ได้ศึกษาประเมินว่าจะมีผลกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 4.85 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% จากปีที่แล้ว แต่ลดลง 13.2% จากไตรมาสก่อนหน้า ผลกระทบหลักมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่การเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วมาจากการลดลงของอัตราการสำรองหนี้สูญ การเติบโตของสินเชื่อคาดว่าจะช้าลงที่ 1.2% qoq และลดลง 0.4% yoy โดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ก็ลดลงเช่นกัน
กลุ่มธนาคารคาดว่าจะมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโตแข็งแกร่งที่ 14.8% yoy จากการบันทึกกำไรจากการลงทุน แต่ลดลง 1.3% qoq เนื่องจากความซบเซาในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียม นอกจากนี้ การควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสนี้
ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ตั้งข้อสังเกตว่าการตั้งสำรองหนี้สูญในไตรมาส 4/67 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน แต่ยังต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ธนาคารที่มีอัตราการสำรองสูงประกอบด้วย KTB, KBANK, TTB และ CREDIT ที่เน้นการตั้งสำรองอย่างรอบคอบ
การแนะนำการลงทุนยังคงเป็น “คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral)” โดยเลือก BBL และ SCB เป็นหุ้นเด่นที่มีเป้าหมายราคาที่ 195 และ 130 บาทตามลำดับ เนื่องจากมองว่ามีการประเมินมูลค่าที่น่าสนใจและมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง อย่างไรก็ตาม ควรระวังความเสี่ยงจาก NPL ที่อาจเพิ่มขึ้นและการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ upside risk จะมาจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวและการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล