ต้นเดือนเมษายน 2568 เป็นช่วงเวลาที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญแรงกระทบครั้งใหญ่เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศใช้ "ภาษีตอบโต้" (Reciprocal Tariffs) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน ซึ่งส่งผลให้สองประเทศหลักในอาเซียน คือ เวียดนามและไทย เผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นอย่างมาก โดยเวียดนามต้องเจอกับภาษี 46% ขณะที่ไทยถูกกำหนดที่ 36% สถานการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความปั่นป่วนในตลาดการเงินทั่วโลก แต่ยังจุดชนวนการแข่งขันใหม่ระหว่างสองประเทศที่เป็นทั้งพันธมิตรและคู่แข่งกัน
เวียดนามซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก เผชิญแรงกดดันมหาศาล ด้วยภาษีที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ ทำให้ดัชนีหุ้น Ho Chi Minh Stock Index ร่วงลงกว่า 7% ในวันเดียว นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจมีผลกระทบรุนแรงต่อการส่งออกและยุทธศาสตร์ "China+1" ในการดึงดูดการลงทุน อย่างไรก็ตาม เวียดนามพยายามเจรจาอย่างรวดเร็วกับสหรัฐฯ โดยเสนอข้อเสนอภาษี 0% ซึ่งถูกปฏิเสธทันที
ในทางกลับกัน ไทยเลือกใช้เวลาทบทวนเงื่อนไขและเตรียมข้อมูลอย่างรอบด้าน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล จากธนาคารกรุงเทพเรียกร้องให้เร่งเจรจา แต่รัฐบาลไทยยังคงเลือกทำการบ้านให้ละเอียดก่อน การเตรียมการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ถูกเสนอ อาจช่วยให้ไทยได้เปรียบในระยะยาว หากสามารถนำเสนอทางออกที่