Investing.com - ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในตลาดเอเชียวันนี้ โดยตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่หยุดชะงัก หลังจากเกิดเหตุโดรนของยูเครนโจมตีสถานีสูบจ่ายน้ำมันดิบของรัสเซีย
น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ปรับตัวขึ้น 0.3% มาเป็น 76.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 08:48 น. (GMT+7) ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส เพิ่มขึ้น 0.3% มาอยู่ที่ 72.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นในวันก่อนหน้า หลังจากที่โดรนของยูเครนโจมตีสถานีสูบจ่ายน้ำมันดิบสำคัญของรัสเซีย ส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมันจากคาซัคสถาน เหตุการณ์นี้ทำให้ตลาดกลับมากังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของอุปทานที่ลดลงอีก ในขณะที่ตลาดน้ำมันยังคงเผชิญกับภาวะน้ำมันคงคลังที่ตึงตัว
รัสเซียรายงานว่า ปริมาณการขนส่งน้ำมันดิบผ่านท่อส่งของ Caspian Pipeline Consortium (CPC) ซึ่งเป็นเส้นทางการส่งออกหลักของน้ำมันคาซัคสถาน ลดลง 30%-40% ในวันอังคาร หลังจากการโจมตีดังกล่าว
ข้อมูลจากรอยเตอร์สประเมินว่าการลดลง 30% จะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงประมาณ 380,000 บาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่าการปฏิบัติการขนถ่ายน้ำมันที่ท่าเรือ Novorossiysk ของรัสเซียในทะเลดำก็ถูกระงับเนื่องจากพายุ ตามรายงานที่อ้างอิงแหล่งข่าวของรอยเตอร์สเมื่อวันอังคาร
อีกหนึ่งประเด็นที่ตลาดกำลังให้ความสนใจคือ การพบปะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ และรัสเซียที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อเริ่มต้นการเจรจารอบแรกเกี่ยวกับสงครามในยูเครน
แม้ว่าการหารือยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่หากมีความคืบหน้าไปสู่ข้อตกลงสันติภาพ มันก็อาจนำไปสู่การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งอาจเพิ่มปริมาณอุปทานน้ำมันในตลาดโลก และสร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมันได้
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันก็ยังถูกจำกัดจากบรรยากาศการลงทุนที่ยังต้องระมัดระวัง ก่อนการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญและรายงานการประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งอาจให้เบาะแสเกี่ยวกับแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันและอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
อีกทั้งตลาดก็ยังกำลังรอการเปิดเผยตัวเลข ดัชนี PMI ของสหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกและผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
นอกจากนี้ รายงาน การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่มีกำหนดการณ์เผยแพร่ในวันนี้ ก็จะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดเพื่อดูสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอาจทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกดดันราคาน้ำมันโดยทำให้ต้นทุนการซื้อน้ำมันสูงขึ้นสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น