ดัชนีดาวโจนส์อุตสาหกรรม (DJIA) มีหนึ่งในวันที่เลวร้ายที่สุดในการซื้อขายนับตั้งแต่ช่วงการระบาดของโรค ลดลงมากกว่า 2,000 จุด หรือลดลงกว่า 5% ในวันนั้น และทำให้ดัชนีหุ้นหลักอยู่ในเส้นทางที่จะมีวันที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ในแง่ของจำนวนจุด ตลาดทั่วโลกกำลังปั่นป่วนเมื่อรัฐบาลทรัมป์ได้รับความปรารถนาในการเริ่มต้นสงครามการค้าที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญหน้ากับทุกคนในเวลาเดียวกัน
ดัชนีดาวโจนส์ลดลงเหลือ 38,500 ในวันศุกร์ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน และลดลงเกือบ 18% จากระดับสูงสุดที่บันทึกไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ดัชนี Standard & Poor’s 500 (S&P) ลดลงมากกว่า 300 จุด หรือลดลงกว่า 5.5% ดัชนี Nasdaq Composite ก็ลดลงประมาณ 1,000 จุด ลดลง 5.5% เช่นกัน ขณะที่หุ้นทั่วทั้งตลาดถูกกดดันจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในตลาดโดยรวม
จีนได้ประกาศภาษีตอบโต้ ต่อภาษี "ตอบโต้" ของสหรัฐฯ ที่ประกาศในสัปดาห์นี้ ซึ่งถูก 'คำนวณ' โดยการนำการนำเข้าและส่งออกสุทธิผ่านสูตรที่ถูกวิจารณ์อย่างมากในโซเชียลมีเดียและวงการเศรษฐกิจ รัฐบาลทรัมป์ได้กำหนดภาษี 34% ต่อจีนในสัปดาห์นี้ ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยภาษี 34% ทำให้ตลาดทั่วโลกเกิดความปั่นป่วนและเริ่มต้นการลดลงอีกครั้งในวงจรภาษี
ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่คาดไว้มาก แต่แทบไม่มีผลต่อการชะลอแรงกดดันการขายในตลาดโดยรวม สหรัฐฯ เพิ่มงานใหม่สุทธิ 228,000 ตำแหน่งในเดือนมีนาคม เกือบสองเท่าของตัวเลขที่ปรับปรุงในเดือนกุมภาพันธ์ที่ 117,000 ซึ่งถูกปรับลดลงจาก 151,000 อัตราค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงของสหรัฐฯ ลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ที่ 3.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ลดลงจาก 4.0% ในช่วงก่อนหน้า อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 4.2% เมื่อเทียบกับที่คาดว่าจะคงที่ที่ 4.1%
แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานสุทธิใน NFP จะมีแนวโน้มที่ดี แต่ตัวเลขแรงงานเริ่มแสดงสัญญาณของความอ่อนแอ รอยร้าวเริ่มปรากฏในตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ร่วมกับความอ่อนแอทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นจากภาษีทั่วโลกของทีมทรัมป์ ตลาดกำลังวางเดิมพันว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 100 bps จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ภายในสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม การเดิมพันนี้กำลังเผชิญกับการสื่อสารโดยตรงจากเจ้าหน้าที่เฟดที่ได้เรียกร้องให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายในขณะที่รัฐบาลทรัมป์มีความตั้งใจที่จะจัดการกับการขาดดุลของสหรัฐฯ โดยใช้ภาษีการค้าเป็นหลัก
วันนี้เป็นวันที่ไม่ดีสำหรับดัชนีหุ้น ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบสิบเดือน โดยลบผลกำไรเกือบหนึ่งปีออกไปทั้งหมด และทำให้ดัชนีหุ้นหลักอยู่ต่ำกว่าระดับราคา 40,000 อย่างมาก ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 15% จากจุดสูงสุดของปีที่อยู่เหนือ 45,000 และมีแนวโน้มที่จะขาดทุนเพิ่มเติมเมื่อ DJIA เข้าสู่การตกต่ำอย่างอิสระต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) 200 วันที่ 42,000
ดาวโจนส์ (DJIA) คือมาตรวัดคาเฉลี่ยของบริษัทในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดาวโจนส์รวบรวมจากหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุด 30 อันดับในสหรัฐฯ และจะถ่วงน้ำหนักด้วยการเคลื่อนไหวของราคามากกว่าถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด คำนวณโดยการรวมราคาของหุ้นที่เป็นส่วนประกอบแล้วหารด้วยตัวคูณซึ่งปัจจุบันคือ 0.152 ดัชนีนี้ก่อตั้งโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ผู้ก่อตั้ง วารสารวอลล์สตรีท (Wall Street Journal) ในช่วงหลายปีต่อมา มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าดาวโจนส์ไม่ได้เป็นตัวแทนของสินทรัพย์ในวงกว้างเพียงพอ เนื่องจากอ้างอิงการเคลื่อนของกลุ่มบริษัทเพียง 30 กลุ่มเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากดัชนีอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่มีจำนวนมากกว่าอย่างเช่น S&P 500
ปัจจัยที่แตกต่างกันมากมายผลักดันการเคลื่อนไหวของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัท, รายละเอียดที่เปิดเผยในรายงานผลประกอบการของบริษัทรายไตรมาสถือเป็นมาตรวัดประสิทธิภาพหลัก ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกยังมีส่วนช่วยเช่นกัน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ระดับของอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังมีอิทธิพลต่อ DJIA เนื่องจากส่งผลต่อต้นทุนสินเชื่อ ซึ่งหลายๆ บริษัทต้องพึ่งพาอย่างมาก ดังนั้น อัตราเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้เช่นเดียวกับตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ทฤษฎีดาวเป็นวิธีการในการระบุแนวโน้มหลักของตลาดหุ้นที่พัฒนาโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ขั้นตอนสำคัญคือการเปรียบเทียบทิศทางของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) และ ค่าเฉลี่ยการขนส่งดาวโจนส์ (DJTA) และติดตามเฉพาะแนวโน้มที่ทั้งคู่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ,uปริมาณเป็นเกณฑ์ยืนยัน ทฤษฎีนี้ใช้องค์ประกอบของการวิเคราะห์จุดสูงสุดและต่ำสุด ทฤษฎีของดาวโจนส์ (Dow) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสะสม เมื่อนักลงทุนเริ่มซื้อขายปลกเปลี่ยน ระยะการมีส่วนร่วมของประชาชน เมื่อประชาชนในวงกว้างเข้ามามีส่วนร่วมลงทุน และระยะกระจายตัวเมื่อเงินเงินของนักลงทุนออกจากตลาดไป
มีหลายวิธีในการลงทุนกับ DJIA หนึ่งคือการลงทุนผ่าน ETF ซึ่งอนุญาตให้นักลงทุนซื้อขาย DJIA เป็นหลักทรัพย์เดียว แทนที่จะต้องซื้อหุ้นในบริษัทที่เป็นส่วนประกอบทั้งหมด 30 แห่ง ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ กองทุน SPDR , ETF ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DIA) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ DJIA ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรมูลค่าในอนาคตของดัชนีแลออปชัน แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัดในการซื้อหรือขายดัชนีในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในอนาคต กองทุนรวมช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายของหุ้น DJIA ซึ่งทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในดัชนี