ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันจันทร์ คู่ NZDUSD ปรับตัวขึ้นมาวิ่งใกล้ 0.5620 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) แข็งค่าขึ้นหลังจากข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของ Caixin ประเทศจีนในเดือนธันวาคม
กิจกรรมภาคบริการของจีนขยายตัวในอัตราที่เร็วขึ้นในเดือนธันวาคม โดยดัชนี PMI ภาคบริการของ Caixin เพิ่มขึ้นเป็น 52.2 จาก 51.5 ในเดือนพฤศจิกายน ตัวเลขนี้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 51.7 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ปรับตัวขึ้นทันทีหลังจากข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่สดใส
นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) กล่าวในช่วงสุดสัปดาห์ว่าจะใช้เครื่องมือใหม่เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นและยืนยันความมุ่งมั่นในการลดอัตราดอกเบี้ยและอัตราส่วนความต้องการสำรองสำหรับธนาคาร "ในเวลาที่เหมาะสม" เพื่อส่งเสริมการเติบโต มาตรการสนับสนุนจากจีนช่วยหนุนดอลลาร์นิวซีแลนด์ เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของนิวซีแลนด์
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของคู่เงินอาจถูกจำกัดท่ามกลางความเป็นไปได้ของการขู่เก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้รับเลือก โดนัลด์ ทรัมป์ ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติม 10% จากจีน นอกเหนือจากภาษีเพิ่มเติมอื่นๆ หลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ความไม่แน่นอนและความไม่มั่นคงในเศรษฐกิจจีนอาจส่งผลกระทบต่อดอลลาร์นิวซีแลนด์ที่เป็นตัวแทนของจีน เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของนิวซีแลนด์
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีท่าทีแข็งกร้าวในที่ประชุมเดือนธันวาคม ซึ่งได้หนุนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจยังคงขึ้นอยู่กับข้อมูล และข้อมูลสำคัญหลายจุดในเดือนธันวาคมสัปดาห์นี้อาจให้สัญญาณบางอย่างเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) จะเผยแพร่รายงานการประชุมในวันพุธ ต่อมาในวันศุกร์ ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคมจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด รวมถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) อัตราการว่างงาน และรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า