คู่ AUD/USD ร่วงลงอย่างรวดเร็วไปวิ่งต่ำกว่า 0.6400 ในวันอังคาร ราคาลดลง 0.82% เป็น 0.6395 หลังจากธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ให้คําแนะนําอัตราดอกเบี้ยที่ดูแข็งกร้าวน้อยลง มิเชล บลูล็อค (Michele Bullock) ผู้ว่าการ RBA แสดงความมั่นใจว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อลดลง แต่ไม่ได้หายไป เธอให้ข้อมูลว่าการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมา แต่เธอมั่นใจว่าค่าจ้างและอุปสงค์กําลังชะลอตัว
นักลงทุนกําลังรอข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และข้อมูลการจ้างงานของออสเตรเลีย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้อาจส่งผลต่อทิศทางของออสซี่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ในขณะเดียวกัน ตลาดยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการขายเนื่องจากความคาดหวังเพิ่มขึ้นสําหรับ RBA ที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินน้อยลง นักวิเคราะห์ของ ANZ และ Westpac คาดการณ์ว่า RBA อาจเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยภายในเดือนพฤษภาคม 2025
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) อยู่ที่ 36 สําหรับคู่ออสซี่ ซึ่งยังคงอยู่ในบริเวณติดลบและลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งสัญญาณถึงแรงขายอย่างต่อเนื่อง แท่งฮิสโตแกรม Moving Average Convergence Divergence (MACD) ยังพิมพ์แถบสีเขียวที่ลดลง ซึ่งบ่งชี้ว่าโมเมนตัมขาลงมีแนวโน้มที่จะคงอยู่
แนวรับแรกอยู่ที่ระดับต่ำสุดล่าสุดที่ 0.6350 ในขณะที่แนวต้านอยู่ใกล้ 0.6440 ตลาดจะยังคงผันผวน และการเปิดเผยข้อมูลที่จะเกิดขึ้น เช่น การตัดสินใจเชิงนโยบายของ RBA และ CPI ของสหรัฐฯ อาจให้ทิศทางที่สําคัญสําหรับทั้งคู่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
อัตราเงินเฟ้อวัดการเพิ่มขึ้นของราคาในตะกร้าสินค้าและบริการที่ใช้อ้างอิง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมองค์ประกอบที่มีความผันผวนสูงเช่น อาหารและเชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้อาจผันผวนเพราะสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญและเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้อ้างอิงในการกำหนดเป้าหมาย ธนาคารกลางฯ นิยมคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2%
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติ CPI จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) CPI หลักคือตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เพราะ CPI ทั่วไปไม่รวมปัจจัยเช่นการผลิตอาหารและเชื้อเพลิงที่มีความผันผวน ดังนั้น เมื่อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จึงมักจะส่งผลให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อ CPI ลดลงต่ำกว่า 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงเป็นผลดีต่อสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และตรงกันข้าม สกุลเงินจะอ่อนค่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง
แม้ว่าอาจดูเหมือนขัดกับภาพความเป็นจริงที่เห็น แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่สูงจะผลักดันมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ให้สูงขึ้นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกให้ไหลเข้าประเทศ เพราะพวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่มีกำไรจากการฝากเงินของพวกเขา
ในอดีต ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปพึ่งพาในช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากทองคำยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะซื้อทองคำด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในปัจจุบันมักไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางต่างๆ มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจึงไม่เป็นผลดีต่อทองคำ เนื่องจากทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปฝากในบัญชีเงินสด ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อทองคำ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้โลหะมีค่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสมากขึ้น