คู่ NZD/USD พยายามอย่างยากลำบากเพื่อใช้อานิสงส์จากการดีดตัวของวันก่อนหน้าจากบริเวณ 0.5800 หรือระดับต่ำสุดในรอบสองสัปดาห์ และดึงดูดแรงตลาดผู้ขายรายใหม่ ๆ ได้ในวันอังคาร ราคาสปอตยังคงมีแนวโน้มเป็นขาลงระหว่างวันตลอดครึ่งแรกของเซสชั่นยุโรป และปัจจุบันซื้อขายที่บริเวณระดับ 0.5825-0.5820 ใกล้จุดต่ำสุดหนึ่งปีที่ไปแตะในเดือนพฤศจิกายน
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) ยังคงถูกกดดันโดยความคาดหวังการผ่อนคลายนโยบายเชิงรุกมากขึ้นโดยธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) นอกจากนี้ รายงานตัวเลขการส่งออกและนําเข้าของจีนที่น่าผิดหวังยังเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวที่เปราะบางในประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกนี้ ซึ่งมีส่วนกดดันความต้องการสกุลเงินกลุ่มแอนติโพเดียน รวมถึงกีวี ปัจจัยนี้รวมเข้ากับการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของดอลลาร์สหรัฐ (USD) และทําให้เกิดแรงกดดันเพิ่มเติมต่อคู่ NZD/USD
ในความเป็นจริง ดัชนีดอลลาร์ (DXY) ซึ่งติดตามเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินใหญ่ ๆ ดูเหมือนจะต่อยอดจากการดีดตัวหลังรายงาน NFP จากระดับต่ำสุดในรอบเกือบหนึ่งเดือนได้แล้ว ท่ามกลางการเดิมพันว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะใช้ท่าทีที่ระมัดระวังในการลดอัตราดอกเบี้ย ยิ่งไปกว่านั้นสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เลวร้ายลงและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างต่อเนื่องในตะวันออกกลางผลักดันให้เงินทุนต้องเข้าหลบภัยบางแห่งที่อาจเป็นดอลลาร์สหรัฐ สิ่งนี้ควบคู่ไปกับความกังวลเกี่ยวกับภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ก็ได้กดดันคู่เงิน NZD/USD
ปัจจัยฉากหลังพื้นฐานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าเส้นทางที่มีแรงต้านน้อยที่สุดสําหรับราคาสปอตยังคงเป็นขาลง แม้ว่าเทรดเดอร์อาจรอการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในวันพุธ รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สําคัญของสหรัฐฯ จะถูกมองเป็นสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ และเป็นแนวทางในการตัดสินใจของเฟดในปลายเดือนนี้ ซึ่งในทางกลับกันสิ่งนี้จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา USD และเป็นแรงผลักดันใหม่ให้กับคู่ NZD/USD
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า