tradingkey.logo

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน (UoM) สหรัฐฯ ลดลงสู่ 50.8 ในเดือนเมษายน เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ที่ 54.5

FXStreet11 เม.ย. 2025 เวลา 14:09
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ UoM ออกมาต่ำกว่าความคาดหวังของตลาดในเดือนเมษายน
  • ดัชนี USD อยู่ในแดนลบอย่างหนักต่ำกว่า 100.00

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ยังคงเสื่อมถอยในเดือนเมษายน โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน (UoM) ลดลงสู่ระดับ 50.8 ในการประมาณการเบื้องต้นจาก 57 ในเดือนมีนาคม ซึ่งตัวเลขนี้ต่ำกว่าความคาดหวังของตลาดที่ 54.5

รายละเอียดพื้นฐานของรายงานแสดงให้เห็นว่าดัชนีสภาพปัจจุบันลดลงสู่ 56.5 จาก 63.8 ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภคลดลงสู่ 47.2 จาก 52.6

ส่วนประกอบการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะหนึ่งปีของการสำรวจเพิ่มขึ้นเป็น 6.7% จาก 5% และการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะห้าปีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 4.4% จาก 4.1%

สัดส่วนของผู้บริโภคที่คาดว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้นในปีข้างหน้าขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2009 ตามที่ UoM ระบุ

ปฏิกิริยาตลาด

ดัชนีดอลลาร์สหรัฐยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันขาลงอย่างหนักหลังจากรายงานนี้ และล่าสุดพบว่าลดลง 1.3% ในวันนี้ที่ 99.62

Inflation FAQs

อัตราเงินเฟ้อวัดการเพิ่มขึ้นของราคาในตะกร้าสินค้าและบริการที่ใช้อ้างอิง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมองค์ประกอบที่มีความผันผวนสูงเช่น อาหารและเชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้อาจผันผวนเพราะสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญและเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้อ้างอิงในการกำหนดเป้าหมาย ธนาคารกลางฯ นิยมคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2%

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติ CPI จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) CPI หลักคือตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เพราะ CPI ทั่วไปไม่รวมปัจจัยเช่นการผลิตอาหารและเชื้อเพลิงที่มีความผันผวน ดังนั้น เมื่อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จึงมักจะส่งผลให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อ CPI ลดลงต่ำกว่า 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงเป็นผลดีต่อสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และตรงกันข้าม สกุลเงินจะอ่อนค่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง

แม้ว่าอาจดูเหมือนขัดกับภาพความเป็นจริงที่เห็น แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่สูงจะผลักดันมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ให้สูงขึ้นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกให้ไหลเข้าประเทศ เพราะพวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่มีกำไรจากการฝากเงินของพวกเขา

ในอดีต ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปพึ่งพาในช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากทองคำยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะซื้อทองคำด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในปัจจุบันมักไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางต่างๆ มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจึงไม่เป็นผลดีต่อทองคำ เนื่องจากทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปฝากในบัญชีเงินสด ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อทองคำ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้โลหะมีค่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสมากขึ้น

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลที่ให้ไว้บนเว็บไซต์นี้มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการเงินหรือการลงทุน

บทความที่เกี่ยวข้อง