อาร์เธอร์ เฮย์ส อดีตซีอีโอของบิตเม็กซ์ ได้คาดการณ์ราคาบิตคอยน์ว่าอาจพุ่งสูงถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐภายในปีนี้ โดยอิงจากความเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะกลับมาใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อีกครั้ง ซึ่งการกระทำนี้จะนำไปสู่การเพิ่มเงินเฟียตในระบบ รวมถึงการลดเพดานการขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และการขยายงบดุลของเฟด ทั้งนี้ เฮย์สเชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะหนุนการเติบโตของบิตคอยน์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศมาตรการภาษีใหม่เพื่อลดยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่สูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการผลิตภายในประเทศและลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า แม้ว่าผลของมาตรการนี้อาจส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ก็มีความกังวลว่าอาจกระทบต่อตลาดคริปโทฯ และตลาดดั้งเดิมในระยะสั้น
ข้อมูลจากแนนเซนชี้ว่ามีโอกาส 70% ที่ตลาดคริปโทฯ จะร่วงถึงจุดต่ำสุดก่อนมิถุนายน 2568 เนื่องจากความไม่แน่นอนในเจรจาการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดว่าบิตคอยน์จะฟื้นตัวหลังไตรมาส 2 ของปีนี้ และจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในครึ่งหลังของปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทเกรย์สเคลได้ยื่นคำร้องเพื่อเปลี่ยนกองทุน Digital Large Cap Fund ซึ่งประกอบด้วยบิตคอยน์ อีเธอเรียม และเอ็กซ์อาร์พี (XRP) ให้กลายเป็นกองทุน ETF แบบ spot การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงสินทรัพย์คริปโทฯ ได้ง่ายขึ้น และขยายการลงทุนในตลาดคริปโทฯ ได้มากยิ่งขึ้น