Investing.com - ราคาน้ำมันปรับขึ้นในตลาดเอเชียวันนี้ต่อเนื่องจากการฟื้นตัวครั้งล่าสุด ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง หลังจากข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาสล่มลง
ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลสินค้าคงคลังน้ำมันของสหรัฐ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่เป็นผู้บริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงรายใหญ่ที่สุดของโลกยังคงแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน ตลาดก็กำลังประเมินมุมมองเศรษฐกิจจากการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ
ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นหลังร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปีเมื่อต้นเดือนมีนาคม เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ซบเซา มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐ และอุปทานที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้ยังคงอยู่และจำกัดการฟื้นตัวของราคาน้ำมันโดยรวม
สัญญา น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ที่จะครบกำหนดในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 0.4% มาเป็น 71.08 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส ปรับตัวขึ้น 0.5% มาอยู่ที่ 67.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 08:12 น. (GMT+7)
ข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐที่เผยแพร่เมื่อวันพุธระบุว่า สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
แต่น้ำมันกลั่นคงคลังลดลงอย่างมากเกินคาดการณ์ ซึ่งชดเชยการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทอื่น ๆ
การลดลงของน้ำมันกลั่นคงคลังช่วยเสริมความหวังว่าความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง แม้จะมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว
ในอีกด้านหนึ่ง อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีเป้าหมายของกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาอย่างหนักในสัปดาห์นี้ ยุติการหยุดยิงที่กินเวลานานสองเดือน นอกจากนี้ สหรัฐยังได้โจมตีกลุ่มฮูตีของเยเมนหลังจากที่กลุ่มนี้รบกวนเส้นทางขนส่งในทะเลแดง
เหตุการณ์ทั้งสองทำให้นักลงทุนปรับเพิ่มความเสี่ยงในตลาดน้ำมัน เนื่องจากความกังวลว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน
ในด้านภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดยังจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่โจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของกันและกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันยังคงถูกจำกัดจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลง การผลิตที่เพิ่มขึ้น และความตึงเครียดทางการค้าโลก
เมื่อวันพุธ เฟดได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามเดิมและเน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้กำหนดนโยบายพยายามประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
อย่างไรก็ตาม เฟดยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ พร้อมลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งอาจกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน
นอกเหนือจากสหรัฐแล้ว ความหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ก็ช่วยหนุนราคาน้ำมันเช่นกัน แต่นักลงทุนยังคงต้องรอการส่งสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนก่อนที่จะปรับตำแหน่งการลงทุนในตลาดน้ำมัน