tradingkey.logo

IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของความต้องการน้ํามันทั่วโลกในปี 2025 เป็น 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน

FXStreet12 ธ.ค. 2024 เวลา 14:31

ในรายงานตลาดน้ำมันรายเดือนที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี ทางสํานักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2025 มาเป็น 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) จาก 990,000 บาร์เรลต่อวัน

ประเด็นอื่น ๆ เพิ่มเติม

การคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2024 อยู่ที่ 840,000 บาร์เรลต่อวัน เทียบกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 920,000 บาร์เรลต่อวัน

คาดการณ์อุปทานมันที่สบาย ๆ ในปี 2025

คาดการณ์ว่าจะมีอุปทานล้นตลาด 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2025 หาก OPEC+ เพิ่มการผลิต

รายงานข้อมูลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า ปริมาณสํารองน้ำมันทั่วโลกเพิ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน

ความล่าช้าของ OPEC+ ในการลดอุปทานช่วยลดการเกินดุลน้ำมันของตลาดในปี 2025 ได้อย่างมาก

รายงานสต็อกอุตสาหกรรมของ OECD ลดลง 30.9 ล้านบาร์เรลในเดือนตุลาคม

อุปทานที่ไม่ใช่จาก OPEC+ จะเพิ่มขึ้นเกือบ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2567-2568

อุปทานน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 630,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2024 และ 1.9 ล้านบาร์เรลในปี 2025

ความต้องการน้ำมันของจีนจะเพิ่มขึ้น 140,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2024 และที่ 220,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2025

น้ำมันดิบคงเหลือในปัจจุบันบ่งชี้ว่าอุปทานจะค้างอยู่ที่ 950,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2025 หาก OPEC+ เริ่มคลายการลดโดยสมัครใจภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2025

WTI Oil FAQs

น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ

เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน

รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ

OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: เนื้อหาข้างต้นทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการใช้งานแพลตฟอร์มของเรา ไม่ได้ให้คำแนะนำในการซื้อขายและไม่ควรเป็นพื้นฐานของการตัดสินใจซื้อขายใดๆ

บทความที่เกี่ยวข้อง