Fxstreet
25 พ.ย. 2024 เวลา 9:16
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียด (WTI) สิ้นสุดการวิ่งขาขึ้นสองวันติดต่อกัน โดยซื้อขายที่ประมาณ 70.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเซสชั่นการซื้อขายของเอเชียในวันจันทร์ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านลบต่อราคาน้ำมันยังคงมีอยู่อย่างจํากัด เนื่องจากมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ อย่างเช่น รัสเซียและอิหร่าน ซึ่งกระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานที่อาจเกิดขึ้นได้
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากการโจมตีรัสเซียครั้งแรกของยูเครนโดยใช้อาวุธของสหรัฐฯ และอังกฤษ ในการตอบโต้ รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ "การยิงตอบโต้กันเมื่อเร็ว ๆ นี้บ่งชี้ว่าสงครามได้เข้าสู่ระยะใหม่และอันตรายมากขึ้น ทําให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานของน้ำมัน" นักวิเคราะห์ของ ANZ นําโดย Daniel Hynes ระบุในรายงานล่าสุด ตามที่สื่อรอยเตอร์ระบุ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา อิหร่านตอบสนองต่อมติที่ผ่านโดยหน่วยงานเฝ้าระวังการปรมาณูของสหประชาชาติโดยเป็นการริเริ่มมาตรการต่าง ๆ เช่น การเปิดใช้งานเครื่องหมุนเหวี่ยงขั้นสูงสําหรับการเสริมสมรรถนะให้แก่ยูเรเนียม คณะกรรมการผู้ว่าการ 35 ประเทศของหน่วยงานเฝ้าระวังนิวเคลียร์ของสหประชาชาติได้ผ่านมติที่ร้องขอให้อิหร่านเพิ่มความร่วมมือกับหน่วยงานและขอรายงาน "ที่ครอบคลุม" เพื่อกดดันอิหร่านให้มีการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ใหม่
ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในสองประเทศผู้นําเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก อย่างจีนและอินเดีย การนําเข้าน้ำมันดิบของจีนดีดตัวขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากราคาน้ำมันที่เริ่มลดลงกระตุ้นให้มีการกักตุนน้ำมัน ในขณะที่โรงกลั่นของอินเดียเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ 3% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาเป็น 5.04 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) ในเดือนตุลาคม ได้รับแรงหนุนจากกิจกรรมการส่งออกเชื้อเพลิงที่แข็งแกร่ง
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย