tradingkey.logo

ราคา WTI ร่วงลงสู่ระดับใกล้ $68.00 เมื่อ OPEC ลดมุมมองต่ออุปสงค์

FXStreet13 พ.ย. 2024 เวลา 2:34
  • ราคา WTI ยังคงเป็นขาลงที่ใกล้ $68.00 ในช่วงต้นเซสชั่นเอเชียของวันพุธ
  • การปรับลดล่าสุดของโอเปกต่อการเติบโตของอุปสงค์, USD ที่แข็งค่าขึ้น, และอุปสงค์ของจีนที่อ่อนแอ กดให้ราคา WTI ลดลง 
  • นักลงทุนจะให้ความสําคัญกับข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีกําหนดรายงานในวันพุธนี้

West Texas Intermediate (WTI) ซึ่งเป็นเกณฑ์ราคามาตรฐานของน้ำมันดิบของสหรัฐฯ  กำลังวิ่งซื้อขายที่ประมาณ 68.00 ดอลลาร์ในวันพุธ ราคา WTI ปรับตัวลดลงหลังจากองค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2024 ลง

การปรับลดการเติบโตของอุปสงค์ล่าสุดของ OPEC สร้างแรงกดดันในการขายต่อน้ำมันโลก  ทาง OPEC ระบุในรายงานประจําเดือนเมื่อวันอังคารว่า ความต้องการน้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้น 1.82 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bps) ในปี 2024  ลดลงจากการเติบโตที่ 1.93 ล้านบาร์เรลต่อวันที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้ว  OPEC ยังได้ลดประมาณการการเติบโตของอุปสงค์ทั่วโลกในปี 2025 ลงมาเป็น 1.54 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับ 1.64 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือเป็นการปรับลดการคาดการณ์นี้ครั้งที่สี่ติดต่อกันของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันนี้

ความผิดหวังต่อแผนกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดของจีนร่วมกดดันราคาน้ำมัน WTI เนื่องจากจีนเป็นประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก  ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประเทศจีนประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 10 ล้านล้านหยวน แต่นักวิเคราะห์กลับกังวลว่าจะไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ในทางกลับกัน สิ่งนี้ทําให้เกิดความกลัวเกี่ยวกับการบริโภคน้ำมันที่ลดลงในประเทศจีน

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ที่แข็งค่าขึ้นมีส่วนทําให้ WTI ปรับตัวขาลง เนื่องจากทําให้ราคาน้ำมันในสกุลเงิน USD มีราคาแพงขึ้น  ในขณะเดียวกัน ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดมูลค่าของ USD เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินต่างประเทศหนึ่ง ๆ  ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ในรอบ 6 เดือนวิ่งผ่านแนวต้าน 106.00  โดยนักลงทุนจะจับตาดูข้อมูลเงินเฟ้อดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนตุลาคมของสหรัฐฯ ในวันพุธเพื่อเป็นแรงผลักดันตลาดใหม่ ๆ  ในกรณีที่ผลลัพธ์ออกมาที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้อย่างน่าประหลาดใจ ก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อสกุลเงินดอลลาร์และช่วยจํากัดการอ่อนตัวของ WTI

WTI Oil FAQs

น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ

เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน

รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ

OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: เนื้อหาข้างต้นทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการใช้งานแพลตฟอร์มของเรา ไม่ได้ให้คำแนะนำในการซื้อขายและไม่ควรเป็นพื้นฐานของการตัดสินใจซื้อขายใดๆ

บทความที่เกี่ยวข้อง