ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) กลับมาปรับตัวขึ้นได้เมื่อเร็วๆ นี้ โดยซื้อขายที่ประมาณ 27.90 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ในช่วงเซสชั่นยุโรปในวันพุธ การวิเคราะห์กราฟรายวันแสดงให้เห็นการทะลุเหนือรูปแบบสามเหลี่ยมลาดลงซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวก การทะลุออกจากกรอบนี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดอาจเปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงไปเป็นขาขึ้น
นอกจากนี้ ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) 14 วันกําลังปรับฐานในกรอบใต้ระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลง การทะลุเหนือระดับ 50 จะบ่งชี้ถึงการกลับมาของแนวโน้มขาขึ้น
นอกจากนี้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของ Convergence-Divergence (MACD) ได้ข้ามเหนือเส้นสัญญาณ ซึ่งบ่งชี้ถึงสัญญาณตลาดขาขึ้นที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากเส้นสัญญาณทั้งสองยังคงอยู่ต่ำกว่าเส้นกึ่งกลาง (เส้นศูนย์) จึงบ่งชี้ว่าแนวโน้มโดยรวมยังคงเป็นไปในขาลง โดยอาจเป็นการดีที่จะรอการยืนยันเพิ่มเติมก่อนที่จะตัดสินใจซื้อขายครั้งสําคัญ ๆ
ในแง่ของแนวรับ ราคาโลหะเงินกําลังเข้าทดสอบขอบด้สยบนของโครงสร้างสามเหลี่ยมลาดลงที่ระดับ $27.75 การกลับมาสู่โครงสร้างสามเหลี่ยมลาดลงจะช่วยตอกย้ำแนวโน้มเชิงลบ และกดดันให้คู่สินทรัพย์นี้ขยับไปที่โซนบริเวณระดับ $26.60 และตามมาด้วยระดับต่ำสุดของเดือนพฤษภาคมที่ระดับ $26.02
ราคาโลหะเงินเข้าทดสอบแนวต้านทันทีที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) 14 วันที่ระดับ 28.00 ดอลลาร์ ตามด้วย "แนวรับก่อนหน้านี้ที่ได้เปลี่ยนมาเป็นแนวต้าน" ที่ระดับ 28.60 ดอลลาร์ การทะลุเหนือระดับที่เรากล่าวหลังสุดอาจทําให้คู่ XAG/USD เข้าสํารวจแดนราคาบริเวณระดับสูงสุดในรอบสองเดือนที่ระดับ $31.75
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน