ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งวัดมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเปรียบเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลักหกสกุล ยังคงมั่นคงเหนือระดับ 107.00 ในวันศุกร์ หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในเดือนมกราคมตรงตามการคาดการณ์ ช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อที่ไม่คาดคิด
ดอลลาร์สหรัฐยังคงรักษาผลกำไรล่าสุดไว้ได้ เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่าภาษีศุลกากรต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีนจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม ขณะเดียวกัน ความรู้สึกเสี่ยงดีขึ้นเมื่อดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากการขาดทุนก่อนหน้านี้และเคลื่อนไหวสูงขึ้น
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐยังคงอยู่เหนือ 107.00 รวบรวมการเพิ่มขึ้น 0.60% ในสัปดาห์นี้หลังจากฟื้นตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 100 วันที่ 106.60 อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค รวมถึงดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) และการรวมกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MACD) แสดงสัญญาณการฟื้นตัวเล็กน้อย แต่ต้องการโมเมนตัมขาขึ้นเพิ่มเติม แนวต้านอยู่ที่ 107.50 ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 106.60 และ 106.00 ซึ่งทำหน้าที่เป็นระดับสำคัญหากมีแรงกดดันในการขายเกิดขึ้น
อัตราเงินเฟ้อวัดการเพิ่มขึ้นของราคาในตะกร้าสินค้าและบริการที่ใช้อ้างอิง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมองค์ประกอบที่มีความผันผวนสูงเช่น อาหารและเชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้อาจผันผวนเพราะสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญและเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้อ้างอิงในการกำหนดเป้าหมาย ธนาคารกลางฯ นิยมคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2%
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติ CPI จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) CPI หลักคือตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เพราะ CPI ทั่วไปไม่รวมปัจจัยเช่นการผลิตอาหารและเชื้อเพลิงที่มีความผันผวน ดังนั้น เมื่อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จึงมักจะส่งผลให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อ CPI ลดลงต่ำกว่า 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงเป็นผลดีต่อสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และตรงกันข้าม สกุลเงินจะอ่อนค่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง
แม้ว่าอาจดูเหมือนขัดกับภาพความเป็นจริงที่เห็น แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่สูงจะผลักดันมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ให้สูงขึ้นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกให้ไหลเข้าประเทศ เพราะพวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่มีกำไรจากการฝากเงินของพวกเขา
ในอดีต ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปพึ่งพาในช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากทองคำยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะซื้อทองคำด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในปัจจุบันมักไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางต่างๆ มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจึงไม่เป็นผลดีต่อทองคำ เนื่องจากทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปฝากในบัญชีเงินสด ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อทองคำ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้โลหะมีค่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสมากขึ้น