ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ของสหรัฐฯ ดึงดูดแรงการช้อนซื้อได้บางส่วนในบริเวณใกล้เคียงกับแดนกลางของช่วง 80.00 ดอลลาร์ หรือเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายวันที่ไปแตะในช่วงเซสชั่นเอเชียของวันจันทร์ แม้ว่าจะยังไม่มีความเชื่อมั่นตลาดขาขึ้นตามมา ปัจจุบันสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวซื้อขายอยู่ที่ราว 81.30 ดอลลาร์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 0.20% สําหรับวันนี้ และยังคงติดอยู่ในกรอบราคาที่คุ้นเคยซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานที่เกิดจากความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องในตะวันออกกลาง กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นของแรงการช้อนซื้อดอลลาร์สหรัฐ (USD) บางส่วนซึ่งได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากความพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ น่าจะจํากัดการเคลื่อนไหวเชิงบวกที่มีนัยสำคัญสําหรับน้ำมันเอาไว้ นอกจากนี้ ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจของจีนยังเตือนให้นักลงทุนมีความระมัดระวังก่อนที่จะเปิดออเดอร์เก็งการวิ่งขาขึ้น
ความกังวลของตลาดเกี่ยวกับความต้องการเชื้อเพลิงที่ลดลงในจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้นําเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกปรากฏขึ้นอีกครั้ง หลังจากข้อมูลอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของจีนขยายตัว 4.7% ตลอดทั้งปีในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2024 นอกจากนี้ ยอดค้าปลีกและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนยังพลาดเป้าหมายการประมาณการที่เป็นเอกฉันท์ด้วย สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยบดบังความเชื่อมั่นจากการเปิดเผยตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายนที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย
ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคสหรัฐที่เย็นตัวลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วตอกย้ำการเก็งของตลาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ได้ ปัจจัยนี้อาจรั้งสภาวะตลาดกระทิงของ USD ไม่ได้เกิดเดิมพันเชิงรุก และจะยังคงทําหน้าที่เป็นแรงหนุนของราคาน้ำมันดิบตามมา ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการรอแรงการซื้อตามมาอย่างแข็งแกร่งก่อน ก่อนที่จะเริ่มวางออเดอร์เก็งการเริ่มต้นใหม่ของการเคลื่อนไหวขาขึ้นที่แข็งแกร่งล่าสุด ที่เราเห็นในช่วงหนึ่งสัปดาห์กว่า ๆ ที่ผ่านมา
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจาก West Texas Intermediate ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI โดยตัว WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีแรงโน้มถ่วงและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และในทางกลับกันสําหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ ความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่าง ๆ อาจสามารถกดดันอุปทานและส่งผลกระทบต่อราคา ด้านการตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันมีการซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงอาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานสินค้าคงคลังน้ำมันรายสัปดาห์ที่เผยแพร่โดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI โดยการเปลี่ยนแปลงของจำนวนสินค้าคงคลังสะท้อนถึงอุปสงค์และอุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสินค้าคงคลังลดลงอาจบ่งบอกถึงอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น สินค้าคงเหลือที่สูงขึ้นสามารถสะท้อนถึงอุปทานที่เพิ่มขึ้น โดยรายงานของ API จะเผยแพร่ทุกวันอังคารและ EIA ในถัดไป ผลลัพธ์ของรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกันโดยแตกต่างกันภายใน 1% ของกันและกัน ในโอกาสราว ๆ 75% ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มนักส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 13 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตสําหรับประเทศสมาชิกในการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควต้าการผลิตอาจทําให้อุปทานตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิตก็มีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มขยายที่มีสมาชิกนอกโอเปกเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่โดดเด่นที่สุดก็คือรัสเซีย