ในตลาดลงทุนเอเชียวันอังคาร ราคาเงิน (XAG/USD) เคลื่อนไหวในกรอบราคาของวันจันทร์ใกล้ $31.00 โลหะเงินปรับฐานขึ้นได้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเพราะโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนดูเหมือนจะเป็นเป็นไปได้มากขึ้น
เครื่องมือ CME FedWatch ระบุความคิดเห็นของนักลงทุน ซึ่งเชื่อว่ามีโอกาส 77% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจาก 65.6% ที่บันทึกไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้มีการเก็งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นคือสภาวะตลาดแรงงานของสหรัฐอเมริกาที่ผ่อนคลายลง
รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (NFP) ในเดือนมิถุนายนแสดงให้เห็นว่าอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% ซึ่งสูงที่สุดในรอบกว่าสองปี นอกจากนี้ รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงลดลงตามที่คาดไว้ ช่วยบรรเทาความกลัวว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงไม่ยอมลง เนื่องจากกําลังซื้อที่เติบโตช้าลงจะทําให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง
ความคาดหวังว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนกันยายนมากขึ้นได้จํากัดการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ (USD) และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งอ้างอิงค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล ยังคงอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ใกล้ 104.85 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพยายามดิ้นรนเพื่อคงแนวรับรายสัปดาห์ที่ 4.28% เอาไว้ อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่มีดอกเบี้ยที่ลดลงช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเช่นโลหะเงิน
หลังทะลุกรอบราคาขาลงในกราฟสี่ชั่วโมง ราคาโลหะเงินปรับตัวขึ้นต่อไปวิ่งใกล้ $31.00 การทะลุขึ้นยืนเหนือกรอบราคาดังกล่าวส่งผลให้เกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้น การที่ราคาวิ่งอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล 20 วัน (EMA) ที่ 30.70 ดอลลาร์และเอียงไปในทางขาขึ้นแปลว่าราคาเป็นแนวโน้มขาขึ้น
อินดิเคเตอร์ RSI 14 วันเปลี่ยนเข้าสู่โซนขาขึ้นที่ 60.00-80.00 หมายความว่าโมเมนตัมได้เปลี่ยนไปเป็นขาขึ้น
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน