ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ของสหรัฐดึงดูดแรงตลาดผู้ซื้อรายใหม่ ๆ ได้ในช่วงเซสชั่นเอเชียของวันพุธ และพลิกตัวกลับส่วนหนึ่งของการวิ่งขาลงในวันก่อนจากบริเวณระดับ $81.65 หรือระดับสูงสุดในรอบเกือบสองเดือน ในปัจจุบันสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวซื้อขายอยู่ที่ระดับ 81.00 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 0.50% ในวันนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่ อันเนื่องมาจากการโจมตีของอิสราเอลต่อฉนวนกาซาและการโจมตีของยูเครนต่อโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ลินน์ เทรซี (Lynne Tracy) มาพบเมื่อต้นสัปดาห์นี้ และกล่าวโทษสหรัฐฯ สำหรับการโจมตีอย่างป่าเถื่อนในไครเมีย และกล่าวว่ามาตรการตอบโต้จะ “ตามมาอย่างแน่นอน” นอกจากนี้ ความเสี่ยงของสงครามระหว่างอิสราเอลและเลบานอนยังคงมีอยู่หลังจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นจากการยั่วยุโดยกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลัก ๆ ในทางกลับกันสถานการณ์เหล่านี้ถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นแรงขาขึ้นของน้ำมัน แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลงในกลุ่มประเทศผู้บริโภคน้ำมันชั้นนำบางส่วนที่อาจจำกัดการปรับตัวเพิ่มขึ้นใด ๆ ต่อไป
ด้านข้อมูลจากสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกาแสดงให้เห็นเมื่อวันอังคารว่า สต็อกน้ำมันของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดถึง 914,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 21 มิถุนายน นอกจากนี้การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็บ่งชี้ว่าฤดูกาลที่คนจะขับรถท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อนได้เริ่มต้นในลักษณะที่ไม่แข็งแรงนัก ในขณะเดียวกัน ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐที่ลดลงในเดือนมิถุนายนเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มทางเศรษฐกิจ และประเด็นนี้ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย (USD) ซึ่งได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถลงที่แสดงความเข้มงวดเมื่อเร็ว ๆ นี้จากสมาชิก FOMC ที่มีอิทธิพลสูง และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจังหวะเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งหมดอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันถูกจำกัดไม่ให้วิ่งสูงขึ้น
ผู้เข้าร่วมตลาดต่างตั้งตารอข้อมูลอย่างเป็นทางการของรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับสต๊อกน้ำมันและเชื้อเพลิง ซึ่งมีกำหนดการจะเปิดเผยในวันพุธนี้ เวลา 21:30 น. ตามเวลาในประเทศไทย GMT ซึ่งอย่างไรก็ตาม จุดสนใจหลักจะยังคงอยู่ที่รายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 1 ของสหรัฐฯ ที่ปรับแก้ครั้งสุดท้ายในวันพฤหัสบดี และดัชนีราคารายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ รายงานหลังสุดนี้จะมีอิทธิพลสูงต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายในอนาคตของ Fed ซึ่งจะผลักดันอุปสงค์ของเงินสกุล USD ในระยะสั้นและเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบตามมา