นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เผยว่าในปี 2568 ธุรกิจประกันชีวิตคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 2-3% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่คาดการณ์การเติบโตไว้ที่ 2.3-3.3% อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับลดลงยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
การเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตได้รับแรงหนุนจากการที่ประชาชนตระหนักถึงอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่สูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 8-10% และการขยายช่วงอายุการรับประกันสุขภาพถึง 80 ปี นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเข้าสู่สังคมสูงวัยและการผ่อนคลายกฎเกณฑ์จากภาครัฐยังช่วยส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจประกันชีวิตยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และอัตราเงินเฟ้อที่สูงซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์สะสมทรัพย์ที่มีพอร์ตใหญ่ถึง 43.17% ของเบี้ยประกันชีวิตรวม ขณะเดียวกัน มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS 17 ที่มีผลบังคับใช้ยังเป็นอีกปัจจัยที่ต้องจับตามอง
สมาคมประกันชีวิตไทยยังมีแผนที่จะปรับตัวรับมือกับความท้าทายโดยนำแนวคิด ESG มาประยุกต์ใช้เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ ซึ่งในปี 2567 ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 653,923 ล้านบาท เติบโต 3.23% โดยเบี้ยประกันภัยรับใหม่เติบโต 3.28% และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปเติบโต 3.21% ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยการเพิ่มความใส่ใจสุขภาพและการขยายสัญญาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคร้ายแรงและสุขภาพ