- กลุ่มผู้บริโภคและองค์กรที่เกี่ยวข้องเรียกร้องให้รัฐบาลและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานทบทวนโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าในอนาคต
- การรับซื้อไฟฟ้าในปัจจุบันโดยใช้วิธีการคัดเลือกแทนการประมูล อาจทำให้ราคาสูงกว่าตลาดและส่งผลเสียต่อผู้บริโภคในระยะยาว
- มีการเสนอให้พัฒนาแผนการผลิตไฟฟ้าใหม่โดยเน้นการพึ่งพาตนเองและส่งเสริมบทบาทผู้บริโภคเป็นผู้ผลิตไฟฟ้า
กลุ่มสภาผู้บริโภค สมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลและคณะกรรมการทบทวนโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยระบุว่าโครงการดังกล่าวอาจทำให้ผู้บริโภคต้องรับภาระค่าไฟฟ้าที่สูงถึง 65,000 ล้านบาทในอนาคต
ภายใต้การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบเพิ่มเติม จำนวน 2,145.5 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ 1,580 เมกะวัตต์ และกังหันลม 565.4 เมกะวัตต์ โดยไม่มีการประมูลราคา แต่ใช้วิธีการคัดเลือกและกำหนดราคารับซื้อที่ 2.17 บาท/หน่วยสำหรับโซลาร์เซลล์ และ 3.10 บาท/หน่วยสำหรับพลังงานลม ทำให้ราคารับซื้อนี้จะคงที่ตลอด 25 ปี ซึ่งราคาอาจสูงกว่าตลาดถึง 20-30% เมื่อเริ่มดำเนินโครงการจริงในปี 2569
รายงานจากองค์กร IRENA ยังชี้ให้เห็นว่าราคาค่าไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ทั่วโลกในปี 2566 อยู่ที่ 1.53 บาท/หน่วย และอาจต่ำกว่านี้ในปี 2569 ขณะที่ในอินเดียมีการเสนอขายไฟฟ้าที่ต่ำเพียง 1.44 บาท/หน่วย ซึ่งต่ำกว่าราคารับซื้อของโครงการปัจจุบัน การศึกษานี้ยืนยันว่าราคาที่กำหนดไว้ปัจจุบันอาจสร้างภาระให้ผู้บริโภคในระยะยาว
สภาผู้บริโภคและองค์กรที่เกี่ยวข้องยังเรียกร้องให้กระทรวงพลังงานเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP2024) โดยเน้นการพึ่งพาตนเองของชาติและสนับสนุนบทบาทผู้บริโภคเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล