- รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ โดยเจาะจงเรื่องภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
- นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี ย้ำถึงความสำคัญของนโยบายการเงินที่เหมาะสม และอัตราเงินเฟ้อที่ควรอยู่ที่ 2%
- คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 จะโตเกิน 3% โดยรวมนโยบายการเงินและการคลังเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
ในงาน “Sustainabillity Forum 2025 : Synergizing for Driving Business” นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เน้นย้ำความสำคัญของการเร่งปรับโครงสร้างภาษีในประเทศไทย โดยเฉพาะภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ปัจจุบันทั่วโลกเก็บเฉลี่ยที่ 15% แต่ไทยยังเก็บที่ 20% ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในเวทีโลก การปรับลดอัตราภาษีจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำลังพิจารณาอย่างจริงจัง
ในแง่ของการเพิ่มรายได้ให้รัฐบาล นายพิชัยกล่าวถึงการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 7% ถือว่าต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราทั่วโลกที่อยู่ระหว่าง 15-25% การเพิ่มอัตราภาษี VAT สามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนได้ เนื่องจากเป็นภาษีที่เก็บจากทุกคนตามการบริโภคของแต่ละบุคคล
นายพิชัยยังกล่าวถึงการใช้นโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนการลงทุนและเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยหวังให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.25% เพื่อให้เกิดการลงทุนที่ยั่งยืน อีกทั้งยังต้องมีมาตรการจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่ามากเกินไป
อัตราเงินเฟ้อเป็นอีกประเด็นที่นายพิชัยให้ความสำคัญ โดยเขามองว่าอัตราเงินเฟ้อควรอยู่ที่ประมาณ 2% เป็นระดับที่เหมาะสมเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่การคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะเติบโตเกิน 3% หากรัฐบาลเร่งดำเนินการตามนโยบายที่วางไว้
สำหรับปัญหาหนี้ครัวเรือน นายพิชัยยืนยันว่ารัฐบาลกำลังพิจารณามาตรการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจที่มีหนี้รวมกว่า 1.2 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะมีความชัดเจนในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า