- การลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF จาก 0.46% เหลือ 0.23% เป็นนโยบายรัฐบาลที่คาดว่าจะไม่กระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศ
- การลดเงินนำส่งอาจยืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป 1-1.5 ปี และเพิ่มภาระดอกเบี้ย 100-500 ล้านบาทต่อปี
- สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2567 อยู่ที่ 62.33% ต่อ GDP ต่ำกว่าคาดการณ์ และคาดว่าจะขยับขึ้นเล็กน้อยภายในสิ้นปีงบประมาณ 2568
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จาก 0.46% เหลือ 0.23% ว่ามาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยไม่กระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศ การดำเนินการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงิน
ณ ปัจจุบัน กองทุน FIDF มีหนี้คงเหลือกว่า 5 แสนล้านบาท การลดเงินนำส่งจะยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไปประมาณ 1-1.5 ปี และเพิ่มภาระดอกเบี้ยต่อปีราว 100-500 ล้านบาท โดย ธปท. เป็นผู้รับผิดชอบในภาระดังกล่าว นายพชรเน้นว่า การลดเงินนำส่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล ทำให้ไม่มีผลกระทบต่อสัดส่วนหนี้สาธารณะ
นายพชรกล่าวว่า การลดเงินนำส่ง FIDF จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งลูกหนี้และสถาบันการเงิน โดยเพิ่มโอกาสให้ลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นหนี้เสียสามารถกลับมายืนได้ และช่วยลดสัดส่วนหนี้เสียของสถาบันการเงิน ในอนาคต สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2567 อยู่ที่ 62.33% ต่อ GDP ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์และมีแนวโน้มจะขยายขึ้นเล็กน้อยภายในสิ้นปีงบประมาณ 2568
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่ามาตรการช่วยเหลือหนี้ครัวเรือนจะมีรายละเอียดออกมาก่อนสิ้นปี 2567 โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการลดเงินนำส่ง FIDF และการสนับสนุนเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์