TradingKey
25 พ.ย. 2024 เวลา 7:03
- หนี้ครัวเรือนในไตรมาส 2/67 ชะลอตัวลงเนื่องจากการปฏิเสธสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น โดยมีมูลค่าทั้งสิ้น 16.32 ล้านล้านบาท
- สถานการณ์แรงงานในไตรมาส 3/67 ค่อนข้างทรงตัว แต่การจ้างงานในภาคเกษตรกรรมลดลง ซึ่งส่งผลให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.02%
- ความท้าทายที่สำคัญในอนาคต ได้แก่ การจัดการกับหนี้สินที่สูงขึ้นและความเสี่ยงจากหนี้นอกระบบ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านทักษะแรงงานเพื่ออุตสาหกรรมใหม่
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่าหนี้ครัวเรือนของไทยมีมูลค่า 16.32 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.3% แต่ชะลอลงจาก 2.3% ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งผลมาจากการที่สถาบันการเงินปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงจาก 90.7% เหลือ 89.6% การชะลอตัวของการก่อหนี้เกิดขึ้นในหมวดสินเชื่อเกือบทุกประเภท ยกเว้นสินเชื่อส่วนบุคคลความต้องการสินเชื่อที่ลดลงนี้สะท้อนถึงภาระหนี้ที่สูง และคุณภาพสินเชื่อที่ปรับลดลง ซึ่งส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เป็นครั้งแรกที่เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนหดตัว
คุณภาพสินเชื่อครัวเรือนในไตรมาสนี้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เป็น 8.48% จากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 8.01% ปัจจัยที่ต้องระวังในอนาคตได้แก่ การเพิ่มขึ้นของหนี้สินเชื่อเพื่อการอุปโภค-บริโภคที่มีดอกเบี้ยสูง การอาจต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ และการผิดนัดชำระหนี้บ้านที่เร่งตัวขึ้น
ในด้านแรงงาน ไตรมาสที่ 3/67 สถานการณ์แรงงานยังคงทรงตัว โดยมีจำนวนผู้มีงานทำถึง 40 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว การจ้างงานในภาคเกษตรกรรมหดตัว 3.4% อยู่ในช่วงอุทกภัย ขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 1.02% การเพิ่มทักษะแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมสมัยใหม่เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อหลายอุตสาหกรรมกำลังเปลี่ยนแปลง และอาจต้องการแรงงานไทยในอุตสาหกรรมใหม่กว่า 1.7 แสนคน
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวย้ำถึงความจำเป็นในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือน เพื่อให้สถานการณ์สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ดีขึ้น พร้อมเสนอให้มีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมในหนี้สำคัญ เช่น หนี้บ้านและหนี้รถยนต์ ทั้งนี้ มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ยังต้องรอการแถลงเพิ่มเติม โดยคาดว่าการลดเงินนำส่งจะช่วยให้มีทรัพยากรเพียงพอในการจัดการหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ มาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ซ้ำซ้อน ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของวินัยการเงินของลูกหนี้เอง