ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งวัดมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ อีก 6 สกุล ย่อตัวจากการวิ่งขาขึ้นล่าสุดจากสองเซสชั่นก่อนหน้า โดยซื้อขายที่ประมาณ 103.00 ในช่วงเซสชั่นเอเชียของวันพฤหัสบดี
การอ่อนตัวลงของ DXY ครั้งนี้อาจเกิดจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะดําเนินการลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป จากเครื่องมือ CME FedWatch ในขณะนี้มีการประเมินความเป็นไปได้ 72.0% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดอัตราดอกเบี้ย 50 จุดพื้นฐาน (bps) ในเดือนกันยายน โดยเพิ่มขึ้นจาก 11.8% ในสัปดาห์ก่อนหน้า ความคาดหวังของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ลึกขึ้นอาจสร้างแรงกดดันต่อดอลลาร์สหรัฐในระยะสั้น
ข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอลงจากเดือนกรกฎาคมได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นในสหรัฐฯ โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (NFP) ของสหรัฐฯ อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ และอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 ในเดือนกรกฎาคม
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ Austan Goolsbee ประธานเฟดแห่งชิคาโกระบุว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ พร้อมที่จะดําเนินการหากสภาวะเศรษฐกิจหรือการเงินแย่ลง นาย Goolsbee เน้นย้ำว่า "เรากําลังมองไปข้างหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นหากเงื่อนไขโดยรวมเริ่มเข้ามาในลักษณะที่เราหวัง หรือมีการเสื่อมลงในส่วนใด ๆ เหล่านั้น เราจะต้องรีบแก้ไข" ตามรายงานล่าสุดของ Reuters
นอกจากนี้ การลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังก่อให้เกิดแรงกดดันขาลงสําหรับดอลลาร์สหรัฐ (USD) โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปีและ 10 ปีซื้อขายที่ประมาณ 3.94% และ 3.90% ตามลําดับ ณ เวลาที่เขียนข่าวนี้
การหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากบรรยากาศความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงขึ้น อาจหนุนความต้องการดอลลาร์สหรัฐไว้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น CNN รายงานว่าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ สองคนกล่าวว่า ประเทศอิหร่านและพันธมิตรกําลังเตรียมพร้อมสําหรับการตอบโต้ต่ออิสราเอล ที่อาจเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้การสังหารผู้บัญชาการทหารระดับสูงของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ของอิหร่านในเลบานอนและผู้นําอาวุโสของฮามาสในเตหะรานเมื่อเร็ว ๆ นี้
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินที่ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา และเป็นสกุลเงินที่ใช้ 'โดยพฤตินัย' ของประเทศอื่น ๆ จำนวนมากที่มีการหมุนเวียนควบคู่ไปกับสกุลเงินท้องถิ่น เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 88% ของมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก หรือมีมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันตามข้อมูลของปี 2022 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สกุลเงิน USD เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลกจากสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษที่เป็นในประวัติศาสตร์ใหญ่ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกค้ำด้วยทองคำ จนกระทั่งเกิดข้อตกลง Bretton Woods ในปี 1971 เมื่อมาตรฐานการค้ำด้วยทองคำหมดไป
ปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐคือนโยบายทางการเงินซึ่งกำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เฟดมีหน้าที่สองประการ: เพื่อให้บรรลุเสถียรภาพด้านราคา (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) และส่งเสริมการจ้างงานเต็มรูปแบบ เครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายทั้งสองนี้คือการปรับอัตราดอกเบี้ย เมื่อราคาต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไปและอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ทางเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะหนุนค่าเงิน USD แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 2% หรืออัตราการว่างงานสูงเกินไป เฟดอาจเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อสกุลเงินดอลลาร์
ในสถานการณ์ที่รุนแรงมากจริง ๆ ทาง Federal Reserve ยังสามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเพิ่มเติมและออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ การทำ QE เป็นกระบวนการที่เฟดเพิ่มการไหลเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินที่ติดขัดอยู่อย่างมาก โดยเป็นมาตรการทางนโยบายที่ไม่ได้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้เมื่อสินเชื่อหมดเนื่องจากธนาคารจะไม่ให้กู้ยืมระหว่างกัน (เพราะกลัวคู่สัญญาจะผิดนัดชำระหนี้) ก็เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะบรรลุผลลัพล์ที่จำเป็น ถือเป็นเครื่องทางเลือกสุดท้ายของเฟดในการต่อสู้กับวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นระหว่างวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 โดยเกี่ยวข้องกับการที่เฟดพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นและใช้เงินเหล่านั้นเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงินต่าง ๆ การทำ QE มักจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
การกระชับเชิงปริมาณ (QT) เป็นกระบวนการย้อนกลับของการทำ QE โดยที่ Federal Reserve จะหยุดซื้อพันธบัตรจากสถาบันการเงินและไม่นำเงินต้นไปลงทุนใหม่จากพันธบัตรที่ถืออยู่เพื่อซื้อใหม่ ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ