ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งวัดมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ อีก 6 สกุล เคลื่อนไหวในไซด์เวย์และซื้อขายที่บริเวณระดับ 104.50 ในช่วงเช้าของเวลายุโรปในวันพุธ การลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อาจสร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินดอลลาร์ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 2 ปีและ 10 ปีอยู่ที่ 4.44% และ 4.24% ตามลําดับ ณ เวลาที่เขียนข่าวนี้
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐ (USD) อาจเผชิญกับแรงกดดันเนื่องจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนกันยายน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนาย Jerome Powell ประธานเฟดตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทั้งสามครั้งในปีนี้ "เพิ่มความมั่นใจ" ว่าอัตราเงินเฟ้อกําลังอยู่ในเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายของเฟดอย่างยั่งยืน
จากข้อมูลของ FedWatch Tool โดย CME Group ในขณะนี้ตลาดประเมินความน่าจะเป็น 93.6% ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐานในการประชุมเฟดในเดือนกันยายน โดยเพิ่มขึ้นจาก 88.5% เมื่อวานนี้
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนก็รอเห็นพัฒนาการใหม่ ๆ ในประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดมองว่าโดนัลด์ ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งแม้ว่าพรรคเดโมแครตจะรวมตัวกันสนับสนุนรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสในฐานะผู้สมัครชั้นนําสําหรับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีก็ตาม โดย NBC News คาดการณ์ว่านางแฮร์ริสจะได้รับการรับรองจากผู้แทนการประชุมคํามั่นสัญญาส่วนใหญ่ของพรรคเดโมแครต เกณฑ์ในการได้รับการเสนอชื่อคือมีผู้รับรอง 1,976 คน และ NBC ประมาณการว่านางแฮร์ริสได้รับการสนับสนุนจากผู้แทน 1,992 คน ไม่ว่าจะผ่านการรับรองด้วยคําพูดหรือเป็นลายลักษณ์อักษร
นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะติดตามข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะประกาศในภายหลังในเซสชั่นอเมริกาเหนือ นอกจากนี้ ความสนใจของตลาดจะอยู่ที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) รายปี (ไตรมาสที่ 2) ซึ่งจะเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี รายงานเหล่านี้คาดว่าจะให้ข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินที่ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา และเป็นสกุลเงินที่ใช้ 'โดยพฤตินัย' ของประเทศอื่น ๆ จำนวนมากที่มีการหมุนเวียนควบคู่ไปกับสกุลเงินท้องถิ่น เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 88% ของมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก หรือมีมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันตามข้อมูลของปี 2022 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สกุลเงิน USD เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลกจากสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษที่เป็นในประวัติศาสตร์ใหญ่ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกค้ำด้วยทองคำ จนกระทั่งเกิดข้อตกลง Bretton Woods ในปี 1971 เมื่อมาตรฐานการค้ำด้วยทองคำหมดไป
ปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐคือนโยบายทางการเงินซึ่งกำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เฟดมีหน้าที่สองประการ: เพื่อให้บรรลุเสถียรภาพด้านราคา (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) และส่งเสริมการจ้างงานเต็มรูปแบบ เครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายทั้งสองนี้คือการปรับอัตราดอกเบี้ย เมื่อราคาต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไปและอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ทางเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะหนุนค่าเงิน USD แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 2% หรืออัตราการว่างงานสูงเกินไป เฟดอาจเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อสกุลเงินดอลลาร์
ในสถานการณ์ที่รุนแรงมากจริง ๆ ทาง Federal Reserve ยังสามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเพิ่มเติมและออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ การทำ QE เป็นกระบวนการที่เฟดเพิ่มการไหลเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินที่ติดขัดอยู่อย่างมาก โดยเป็นมาตรการทางนโยบายที่ไม่ได้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้เมื่อสินเชื่อหมดเนื่องจากธนาคารจะไม่ให้กู้ยืมระหว่างกัน (เพราะกลัวคู่สัญญาจะผิดนัดชำระหนี้) ก็เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะบรรลุผลลัพล์ที่จำเป็น ถือเป็นเครื่องทางเลือกสุดท้ายของเฟดในการต่อสู้กับวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นระหว่างวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 โดยเกี่ยวข้องกับการที่เฟดพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นและใช้เงินเหล่านั้นเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงินต่าง ๆ การทำ QE มักจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
การกระชับเชิงปริมาณ (QT) เป็นกระบวนการย้อนกลับของการทำ QE โดยที่ Federal Reserve จะหยุดซื้อพันธบัตรจากสถาบันการเงินและไม่นำเงินต้นไปลงทุนใหม่จากพันธบัตรที่ถืออยู่เพื่อซื้อใหม่ ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ