- ราคาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ปรับตัวขึ้นกว่า 1% เนื่องจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง
- การโค่นอำนาจของประธานาธิบดีซีเรียและการผ่อนคลายนโยบายการเงินของจีนส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน
- นักลงทุนจับตาข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ เพื่อตัดสินใจการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นกว่า 1% เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม เนื่องจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางเพิ่มสูงขึ้นหลังจากการโค่นอำนาจของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรีย นอกจากนี้จีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกยังส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมกราคมเพิ่มขึ้น 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.74% ปิดที่ 68.37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 1.02 ดอลลาร์ หรือ 1.43% ปิดที่ 72.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เหตุการณ์ในซีเรียที่เกิดขึ้นในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสร้างความกังวลเกี่ยวกับความไร้เสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในอีกไม่กี่สัปดาห์และหลายเดือนข้างหน้า จอร์จ เลออน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ของบริษัท Rystad Energy กล่าวว่าซีเรียอาจไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ แต่มีบทบาทสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์เนื่องจากความสัมพันธ์ที่มีกับรัสเซียและอิหร่าน
ขณะเดียวกัน จีนมีการเตรียมผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้น ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Price Futures Group กล่าวว่าจีนอาจจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลให้กลุ่มโอเปกพลัสตัดสินใจเลื่อนแผนการเพิ่มการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงเดือนเมษายนปีหน้า นักลงทุนยังคงจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ด้วยความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนในการกู้ยืมและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อไป