- ผลการดำเนินงานของ บมจ.เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) ในปี 67 คาดว่าจะเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นถึง 16.3% และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 86.7% ภายใน 9 เดือนแรก
- การเติบโตของรายได้และกำไรได้รับการสนับสนุนจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่และลูกค้ารายใหม่ ในขณะที่ต้นทุนการจัดจำหน่ายลดลง
- อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคตเมื่อเปรียบเทียบกับอินโดนีเซียและมาเลเซีย
นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) ระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในช่วง 9 เดือนแรก บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการกว่า 21,747.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า 3,051.9 ล้านบาท หรือ 16.3% กำไรสุทธิสูงถึง 400.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.7% จาก 214.5 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว และสูงกว่ากำไรทั้งปี 2566 ที่อยู่ที่ 310.73 ล้านบาท คาดการณ์รายได้รวมในปีนี้จะเติบโต 10-15% ตามแผนงาน
การเติบโตเหล่านี้มีปัจจัยสนับสนุนจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ใหม่ (RBDPKO) และการเพิ่มขึ้นของปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลักจากลูกค้าหลักและลูกค้าใหม่ที่ทำสัญญาระยะยาวกับบริษัท อีกทั้งต้นทุนในการจัดจำหน่ายยังลดลง 6.4% เทียบกับปีก่อนหน้า พร้อมรับประโยชน์จาก Economy of Scale
ในไตรมาส 4/67 คาดว่าผลการดำเนินงานจะยังคงเติบโตแข็งแกร่งจากความต้องการใช้น้ำมันปาล์มในประเทศที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมอาหารและโอเลโอเคมิคอล โดยคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6-7% ในปี 2567
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มทั่วโลกยังคงขยายตัว โดยไทยยังมีโอกาสเติบโตสูงเมื่อเทียบกับอินโดนีเซียและมาเลเซีย ปัจจัยหนุนได้แก่ การขยายพื้นที่เพาะปลูกจาก 6 ล้านไร่สู่ 10 ล้านไร่ภายในปี 2572 ด้วยการสนับสนุนของนโยบายรัฐ ต้นปาล์มน้ำมันที่มีอายุให้ผลผลิตสูงเพิ่มขึ้นและราคาปาล์มที่ดีจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกปาล์มน้ำมัน
ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มอันดับ 3 ของโลก มีการผลิตในปี 2566 ทั้งหมด 3.32 ล้านตัน คิดเป็น 4% ของการผลิตทั่วโลก เทียบกับอินโดนีเซียและมาเลเซีย ที่มีสัดส่วนการผลิต 57% และ 26% ตามลำดับ