- เงินบาทคาดการณ์เคลื่อนไหวในกรอบ 32.75-33.50 บาท/ดอลลาร์ในสัปดาห์นี้ โดยปิดแข็งค่าเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ 33.03 บาท/ดอลลาร์
- เฟดปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี สู่ 4.75-5.00% และอาจลดดอกเบี้ยอีกในอนาคต
- นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิทั้งหุ้นและพันธบัตรไทยอย่างต่อเนื่อง
เงินบาทในสัปดาห์นี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.75-33.50 บาท/ดอลลาร์ โดยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าปิดที่ 33.03 บาท/ดอลลาร์ หลังจากการซื้อขายในช่วง 33.02-33.52 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักเกือบทั้งหมด ยกเว้นเยนและฟรังก์สวิส หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ย 50bp สู่ 4.75-5.00% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี เฟดเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวสู่เป้าหมาย
เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวว่าขณะนี้ไม่เห็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย การลดดอกเบี้ยในครั้งนี้เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในการรักษาความแข็งแกร่งของภาคแรงงานและป้องกันปัญหาล่วงหน้า
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงดอกเบี้ยที่ 0.25% ตามที่ตลาดคาด สะท้อนถึงท่าทีที่ยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง
ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะติดตามความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดและเงินเฟ้อ PCE เดือนสิงหาคมของสหรัฐฯ เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ต่อไป ในประมาณการล่าสุด เฟดอาจจะลดดอกเบี้ยลงอีก 50bp สู่ 4.25-4.50% ในปลายปีนี้ และอีก 100bp ในปี 2568 สู่ 2.75-3.00% ซึ่งจะถือเป็นจุดต่ำสุดของวัฏจักร ตลาดคาดว่าดอกเบี้ยเฟดจะแตะ 2.85% ช่วงสิ้นปี 2568 ซึ่งเร็วกว่า dot plot ของเฟดถึง 1 ปี สะท้อนว่าดอลลาร์อาจมีจังหวะฟื้นตัวขึ้นหากข้อมูลเศรษฐกิจออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงสร้างความผันผวนให้กับค่าเงินบาท
ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผู้ว่าการแสดงความเห็นว่าไทยไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยนโยบายลงตามสหรัฐฯ โดยจะพิจารณาปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ขณะนี้เศรษฐกิจยังสอดคล้องกับที่ ธปท.ประเมินไว้ แต่ยอมรับว่าคุณภาพสินเชื่อมีความเสี่ยงสูงขึ้น ท่ามกลางการฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภาคเศรษฐกิจ และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะกระทบต่อกำไรของภาคธุรกิจ ทางด้านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มตรึงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ในการประชุมวันที่ 16 ตุลาคม