- ราคาน้ำมันดิบในตลาดนิวยอร์กปรับตัวลดลง เนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกินคาดการณ์ และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า
- นักลงทุนยังคงจับตาตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน
- ความไม่สงบในฉนวนกาซาทำให้เกิดการเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมากทั้งในอิสราเอลและกาซา
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดตลาดนิวยอร์กในวันพุธที่ 23 ตุลาคม 2566 โดยลดลงจากการเปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่พุ่งกว่า 5.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 270,000 บาร์เรล การเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันทำให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธันวาคมตกลง 97 เซนต์ หรือ 1.35% ปิดที่ 70.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ส่งมอบเดือนธันวาคมก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลง 1.08 ดอลลาร์ หรือ 1.42% ปิดที่ 74.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล สวนทางกับการคาดการณ์ว่าจะลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล ในขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซลลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ว่าจะลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเพิ่มขึ้น 0.34% แตะระดับ 104.431 ดัชนีดอลลาร์ ทำให้ราคาน้ำมันดิบที่กำหนดเป็นดอลลาร์นั้นมีราคาแพงขึ้นและทำให้ไม่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น
นักลงทุนยังคงให้ความสำคัญกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน หลังจากแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ย้ำเตือนให้มีการหยุดยิงในภูมิภาคดังกล่าว ทั้งนี้ อิสราเอลกำลังมีความขัดแย้งกับกลุ่มฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ พร้อมกับการตอบโต้การโจมตีจากอิหร่านที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
สงครามในฉนวนกาซายังคงดำเนินต่อไปหลังจากเกิดการโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ขณะที่การตอบโต้ของอิสราเอลได้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาจำนวนมากเช่นกัน นักวิเคราะห์คาดว่าสถานการณ์นี้อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ