Fxstreet
11 ก.ย. 2024 เวลา 15:32
GBP/JPY ขยายการปรับตัวขาลงเป็นวันที่สองติดต่อกัน โดยซื้อขายที่บริเวณระดับ 185.00 ในช่วงเซสชั่นยุโรปของวันพุธ สกุลเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แข็งค่าขึ้นหลังจากมีความคิดเห็นจากสมาชิกคณะกรรมการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) นาง Junko Nagakawa
คุณ Nagakawa สมาชิกคณะกรรมการ BoJ ระบุว่า ทางธนาคารกลางอาจปรับขอบเขตของการผ่อนคลายทางการเงินหากเศรษฐกิจและราคาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการคาดการณ์ โดยแม้จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคม แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงติดลบอยู่มาก และเงื่อนไขทางการเงินที่ผ่อนคลายยังคงมีอยู่ ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวพุ่งสูงขึ้น BoJ อาจพิจารณาแผนการลดขนาด (tapering) อีกครั้งในระหว่างการประชุมนโยบายตามความจําเป็น
ในสหราชอาณาจักร (UK) ตัวเลข GDP ไม่มีการเติบโตในเดือนกรกฎาคม หลังจากเศรษฐกิจซบเซาในเดือนมิถุนายน ตามข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) เมื่อวันพุธ โดยต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดซึ่งคาดการณ์การเติบโต 0.2% ในเดือนนั้น ในขณะเดียวกันดัชนีบริการในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับรอบสามเดือนติดต่อกัน ลดลงจากตัวเลข 0.8% ในเดือนมิถุนายน
การที่ไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ตอกย้ำความคาดหวังต่อธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่อาจตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ 25bps ในเดือนพฤศจิกายน เทรดเดอร์บางรายยังได้ประเมินราคาในความเป็นไปได้ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนธันวาคมด้วย
นอกจากนี้ ตัวเลขดุลการค้ารวมของสหราชอาณาจักร (UK) แสดงให้เห็นว่าการขาดดุลขยายตัวเป็น 7,514 ล้านปอนด์ในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นจาก 5,324 ล้านปอนด์ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่องว่างทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน การนําเข้าลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบสี่เดือนที่ 77,120 ล้านปอนด์ ในขณะที่การส่งออกลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 25 เดือนที่ 69,600 ล้านปอนด์
อัตราเงินเฟ้อวัดการเพิ่มขึ้นของราคาในตะกร้าสินค้าและบริการที่ใช้อ้างอิง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมองค์ประกอบที่มีความผันผวนสูงเช่น อาหารและเชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้อาจผันผวนเพราะสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญและเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้อ้างอิงในการกำหนดเป้าหมาย ธนาคารกลางฯ นิยมคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2%
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติ CPI จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) CPI หลักคือตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เพราะ CPI ทั่วไปไม่รวมปัจจัยเช่นการผลิตอาหารและเชื้อเพลิงที่มีความผันผวน ดังนั้น เมื่อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จึงมักจะส่งผลให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อ CPI ลดลงต่ำกว่า 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงเป็นผลดีต่อสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และตรงกันข้าม สกุลเงินจะอ่อนค่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง
แม้ว่าอาจดูเหมือนขัดกับภาพความเป็นจริงที่เห็น แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่สูงจะผลักดันมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ให้สูงขึ้นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกให้ไหลเข้าประเทศ เพราะพวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่มีกำไรจากการฝากเงินของพวกเขา
ในอดีต ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปพึ่งพาในช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากทองคำยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะซื้อทองคำด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในปัจจุบันมักไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางต่างๆ มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจึงไม่เป็นผลดีต่อทองคำ เนื่องจากทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปฝากในบัญชีเงินสด ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อทองคำ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้โลหะมีค่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสมากขึ้น